ยอดขาย BYD รวมทั่วโลก ปี 67 ยังครองแชมป์ ขายทะลุ 4.2 ล้านคัน ทุบสถิติ Tesla และ Honda
ยอดขาย BYD รวมทั่วโลก ปี 67 ยังครองแชมป์ ขายทะลุ 4.2 ล้านคัน ทุบสถิติ Tesla และ Honda

ยอดขาย BYD รวมทั่วโลก ปี 67 ยังครองแชมป์ ขายทะลุ 4.2 ล้านคัน ทุบสถิติ Tesla และ Honda

อัพเดทยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนในตลาดโลกช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2567 ถือว่าทะลุเป้า นำโดยแบรนด์ BYD ที่เติบโตขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วงธันวาคมปี 2566

ข้อมูลนี้เป็นยอดขายของรถยนต์พลังงานใหม่ ที่ในจีนจะเรียกว่า NEV โดยเป็นการรวมของรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า BEV และรถแบบ PHEV หรือ Plug-in Hybrid ส่วนรถยนต์แบบเซลล์เชื้อเพลิง FCEV ก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ในขณะนี้แทบไม่มียอดขายเกิดขึ้น

สำหรับอันดับของยอดขายนั้น ตัวเลขสะท้อนให้เห็นแบรนด์รถที่ค่อนข้างได้รับความนิยมต่อเนื่อง นั่นก็คือ BYD ที่มียอดขายสะสมในปี 2567 อยู่ที่ 4,250,370 คัน เพิ่มขึ้น 41.1% จากปีก่อน เฉพาะในเดือนธันวาคม 2567 ทำยอดขายไปได้ 509,440 คัน เป็นรถ BEV 207,734 และ PHEV 301,706 คัน

สำหรับยอดขาย BYD จะรวมถึงแบรนด์ภายใต้เครืออย่าง Denza, Fang Cheng Boa และ Yangwang

Geely Auto ตามมาเป็นลำดับ 2 ด้วยยอดขายทั้งปีจบที่ 893,235 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 83.2% เลยทีเดียว สำหรับในเดือนสุดท้ายปี ก็สามารถกวาดยอดขายไปได้อีก 116,206 คัน เพิ่มขึ้นอีก 92.2% จากปีก่อน

แบรนด์ภายใต้ Geely Auto ได้แก้ Zeekr, Lynk&Co และ Geely Galaxy

ทางด้าน GAC Aion มียอดขายลดลงเล็กน้อยในปีนี้ โดยมียอดขายทั้งปีที่ 412,943 คัน ลดลงราว 14% แต่ในเดือนธันวาคมมียอดขายกระเตื้องขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 10.8% ที่ 46,851 คัน

Leapmotor แบรนด์ที่เพิ่งเริ่มทำตลาดด้วยรุ่น C10 ในประเทศไทย ทำผลงานได้ไม่เลวเลยกับอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่ 103.8% ด้วยยอดขายสะสมทั้งปี 2567 ที่ 293,724 คัน โดยเป็นยอดขายในเดือนสุดท้ายของปีจำนวน 42,517 คัน

ด้าน Xpeng มียอดขายสะสมเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 34.2% ได้ยอดขายทั้งหมด 190,068 คัน โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 82.4%

Deepal เป็นอีกแบรนด์ที่ทำผลงานได้ดี หลังยอดขายสะสมในปี 2567 เพิ่มขึ้น 38.7% อยู่ที่ 221,970 คัน ส่วนในเดือนธันวาคม 2566 ยอดขายโตพรวด 99.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า PHEV  ของ BYD ของทั้งปี 2567

 

ยอดขายของ BYD พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มปลั๊กอินไฮบริด DM-i ในเดือนพ.ค. 67 ซึ่งทำให้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ BYD สามารถวิ่งได้ไกลถึง 2,100 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง ช่วยขจัดความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับระยะทางในการขับขี่ และกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเลือกซื้อรถยนต์ของ BYD เพิ่มมากขึ้น

ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของ BYD ในตลาดต่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้นถึง 72% จากปีก่อนหน้า ทำให้มียอดขายรวมอยู่ที่ 417,204 คัน ส่งผลให้ BYD มีส่วนแบ่งการตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 10% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอาเซียนและยุโรป รวมถึงการเปิดโรงงานประกอบรถยนต์นั่งแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ “ประเทศไทย” ในเดือนก.ค.

อย่างที่ทราบกันดีว่า ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปได้มีการประกาศใช้มาตรการทางการค้า โดยการเก็บภาษีเพิ่มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตจากประเทศจีน สหรัฐตั้งไว้ที่ 100% ส่วนยุโรปสูงสุดที่ 45.3%    เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ

ในปีที่ผ่านมาจีนค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ยุโรป ยอดส่งออกรถยนต์ไฮบริดทุกประเภทจากจีนไปยังยุโรปในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พุ่งสูงขึ้นถึง 18% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9% ในไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ

นโยบายหนุนชัยชนะ BYD 
ยอดขายของ BYD ในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากแรงหนุนของนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาลจีน ซึ่งรวมถึงนโยบาย “รถใหม่แลกรถเก่า” จึงสามารถทำยอดขายได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2567 นักวิเคราะห์จึงจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า BYD และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ของจีนจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2568 หรือไม่

แม้ว่า BYD ยังไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายยอดขายทั่วโลกสำหรับปี 2568 แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

Cr.  FT  Nikkei InsideEV 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง