MG4 EV รุ่น D ประกอบในประเทศ ล่าสุดหั่นราคาลด 110,900 บาท เหลือ 599,000 บาท
MG4 EV รุ่น D ประกอบในประเทศ ล่าสุดหั่นราคาลด 110,900 บาท เหลือ 599,000 บาท

MG4 EV รุ่น D ประกอบในประเทศ ล่าสุดหั่นราคาลด 110,900 บาท เหลือ 599,000 บาท 

เอ็มจี ประเทศไทย ประกาศปรับลดราคาจำหน่าย MG4 Electric รุ่น D ตัวถังสีส้ม Fizzy Orange (ประกอบไทย) จากปกติราคา 709,900 บาท รับส่วนลดพิเศษถึง 110,900 บาท เหลือราคาจำหน่ายที่ 599,000 บาท 

- MG4 รุ่น X Standard Range ราคา 809,900 บาท
- MG4 รุ่น V Long Range  ราคา 889,900 บาท 
- MG4 รุ่น D Standard Range ราคา 709,900 บาท ปรับลดราคาพิเศษ 110,900 บาท บาท เหลือราคาจำหน่ายที่ 599,000 บาท

พร้อมทั้งยังได้รับโปรโมชั่นแคมเปญดังนี้

- รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 4 ปี หรือ 120,000 กม.
- รับประกันแบตเตอรี่ High-Voltage ตลอดอายุการใช้งาน Lifetime Warranty
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
- ฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด พร้อมฟรีค่าติดตั้ง


MG4 รุ่น D (รุ่นประกอบในประเทศ) ตัวถังสีส้ม Fizzy Orange ที่ถูกปรับลดราคาเหลือ 599,900 บาท ลูกค้าจะได้รับ ฟรี รับประกันแบตเตอรี่ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมบริการติดตั้ง และประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี

MG4 รุ่น D ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 49 kWh สามารถขับขี่เป็นระยะทางสูงสุด 423 กม. ต่อ 1 ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก เช่น ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ, ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน, ไฟท้าย LED, กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมฝาครอบ Aero Wheel Cover

ดีไซน์ภายนอกออกแบบจะเน้นความโฉบเฉี่ยว มาพร้อมไฟหน้า LED Galaxy Technology Matrix Headlights  ขณะที่กระจังหน้ามาแบบปิดทึบตามแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้า โดดเด่นด้วยโลโก้ MG พร้อมติดตั้งกล้องด้านหน้า กันชนหน้าเสริมหล่อด้วยช่องรับลมที่ขอบชายล่าง เพิ่มเสน่ห์ของความเป็นรถสปอร์ตอย่างชัดเจนด้วยเส้นสายด้านข้างที่โฉบเฉี่ยวมาพร้อมหลังคาที่ลาดเท สอดรับกับล้อแบบ Aero Wheel Cover ขนาด 17 นิ้ว ที่ช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค

ด้านท้ายของ MG4 จะมากับสปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing เสริมด้วยไฟเบรกดวงที่ 3 ตรงกลาง ขณะที่ชุดไฟท้ายจะเป็นแบบ LED ลาย Cgynus Symbol Decorative Light ที่พาดยาวตลอดแนวด้านท้าย ที่ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของสปอยเลอร์ชุดล่างแบบ Duck Trail

ในด้านมิติตัวตัวถัง​ 4,287 x 1,836 x 1,516 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง) ระยะความยาวฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตร

ภายในห้องโดยสารรุ่น D ตกแต่งด้วยสีดำ, เบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้า ปรับไฟฟ้าเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่ 6 ทิศทาง, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ 7 นิ้ว, กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down เฉพาะฝั่งคนขับ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบ Intelligent Smart Access, หน้าจอสัมผัสขนาด 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง ฯลฯ โดยเฉพาะในส่วนคอนโซลกลางที่ออกแบบให้เป็นแบบลอยตัว หรือที่ทาง MG เรียกว่า Floated Central Control Platform โดยจะถูกวางติดกับคอนโซลหน้า ซึ่งจะมีมีเพียงแป้นหมุนปรับโหมดเกียร์ กับเบรกมือไฟฟ้า และที่ชาร์ตสมาร์ตโฟนเท่านั้น ขณะที่คอนโซลหน้าจะมากับหน้าจอ 2 ชุดโดยเป็น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจออินโฟนเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว ทำงานคู่กับระบบเชื่อมต่อ MG iSMART และรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่เป็นแบบหัวท้ายตัด ที่ให้อารมณ์เหมือนกับพวงมาลัยบนตัวรถแข่งส่วนเบาะที่นั่งแบบหุ้มหนังสลับผ้า ฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะหลังสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ในสัดส่วน 40:60

MG4 Electric รุ่น D Standard Range ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform โดยจะได้รับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่คู่ล้อหลังให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 161 กม./ชม.จับคู่กับแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุ 49 kWh จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอนและระบายความร้อนด้วยระบบ Liquid Cooling system ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 423 กม. (NEDC) รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 88kW และการชาร์จแบบเร็ว หรือ Quick charge จาก 10% – 80% ในเวลาเพียง 35 นาที พร้อมเปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกรถด้วยระบบ V2L

มาพร้อมระบบ KERS ที่ช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถถึง 4 ระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ, กลาง, สูง และ แบบแปรผันตามการขับขี่ (ADAPTIVE) เพื่อให้เข้ากับการขับขี่ในทุกรูปแบบ ผสมผสานกับการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตรที่ 50:50 

อีกทั้งยังมีตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ (LOW CENTRE OF GRAVITY) ด้านระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังอิสระแบบ 5-Link Suspension 

ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งระบบช่วยเตือนการชน FCW และระบบช่วยเบรก AEB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA, ระบบช่วยควบคุมรถยนต์ให้อยู่ในเลน, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS และระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC เป็นต้น

MG4 รุ่น D มีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 4 สี

- สีส้ม Fizzy Orange
- สีขาว Arctic White
- สีเทา Andes Grey
- สีดำ Black Knight

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง