McLaren Bangkok (แมคลาเรน แบงคอก) เปิดตัว McLaren 750S (แมคลาเรน 750S) รุ่น Coupé ครั้งแรกในประเทศไทย โดย 750S นับเป็น McLaren รุ่นที่เบาที่สุดและทรงพลังที่สุดในบรรดารถจากสายการผลิตทั้งหมด กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับวงการซูเปอร์คาร์ พร้อมพุ่งทะยานสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นโอกาสที่พิเศษมากที่สุดอีกวันหนึ่งที่ทาง แมคลาเรน แบงคอก ได้ฉลองแบรนด์แมคลาเรนครบรอบ 60 ปี
McLaren 750S ก่อกำเนิดจากการวิเคราะห์รุ่น McLaren 720S อย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงยกระดับชิ้นส่วนกว่า 30% ทั้งยกเครื่องใหม่และปรับแต่งใหม่ให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้น ทำให้ทรงพลัง เบา ปราดเปรียวยิ่งขึ้น แรงกดเพิ่มมากขึ้น สมดุลด้านอากาศพลศาสตร์ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งยังมอบสัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวกันกับรถมากยิ่งขึ้น ต่อยอดเป็น McLaren 750S ที่ก้าวล้ำสูงสุดในด้านการลดน้ำหนักให้มีความเบาแหวกม่านอากาศ
โครงสร้างหลักแบบโมโนค็อกพร้อมคาร์บอนไฟเบอร์ การใช้เบาะนั่งแบบรถแข่งคาร์บอนไฟเบอร์และล้อน้ำหนักเบาที่สุดที่ติดตั้งในโมเดลมาตรฐาน คือกุญแจสำคัญที่ส่งผลให้ McLaren 750S เบากว่า 720S ถึง 30 กิโลกรัม นอกจากนี้น้ำหนักรถเปล่ายังเบาสูงสุด เพียง 1,277 กิโลกรัม เบากว่าคู่แข่งหลักถึง 193 กิโลกรัม
McLaren 750S ยังภูมิใจนำเสนอ McLaren Control Launcher (MCL) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ให้คนขับสามารถบันทึกโหมดการขับที่ชื่นชอบได้ และเลือกใช้ได้ทันทีเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านปุ่ม MCL ทรงเอกลักษณ์รูป Speedmark ซึ่งใช้ควบคุมได้หลากหลายฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอากาศพลศาสตร์ การตั้งค่าระบบส่งกำลัง และระบบเกียร์
อีกหลายไฮไลท์ในรุ่นนี้ ได้แก่ ชุดท่อไอเสียด้านท้ายกลางตัวรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก McLaren P1™ ส่งมอบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เร้าใจ พร้อมการปรับแต่งอคูสติกให้โทนเสียงแตกต่าง คมชัด และค่อยๆ ดังขึ้นในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น
มาพร้อมชุดช่วงล่างใหม่ล่าสุด PCC III (McLaren’s Proactive Chassis Control linked-hydraulic suspension) ชุดสปริงและชุดดูดซับแรงกระแทกแบบน้ำหนักเบาที่คำนวณและออกแบบใหม่เพื่อความคล่องตัวกว่าในการขับ ชุดพวงมาลัยแบบ electro-hydraulic ที่เลื่องชื่อผนวกอัตราทดที่เร็วขึ้นเพื่อการเข้าโค้งที่คมมากยิ่งขึ้น
ระบบเบรกใหม่อัพเกรดมาพร้อมชุดเบรกเซรามิค ชุดปั๊มสุญญากาศและบูสเตอร์ชุดใหม่ และชุด Monobloc Caliper ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบเบรกของแมคลาเรน เซนนา (McLaren Senna) เทคโนโลยีระบายความร้อนคาลิปเปอร์เบรกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถฟอร์มูล่าวัน
การออกแบบ McLaren 750S Spider มุ่งเน้นให้มีน้ำหนักเบาที่สุดเช่นกัน จุดเด่นของรุ่นนี้ คือ หลังคาแบบ Retractable Hard Top (RHT) ที่เปิดปิดได้เร็วกว่า 11 วินาที ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. พร้อม Rollover Protection System และส่วนบนของโครงสร้างด้านหลังเชื่อมกันกับโมโนค็อก ที่มีคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลัก และด้วยความแข็งแรงของวัสดุนี้ จึงไม่ต้องเสริมความแข็งแรงเพิ่มเติม จึงมั่นใจว่าแมคลาเรน 750S สไปเดอร์ จะขึ้นสู่ผู้นำในกลุ่มตลาดนี้ด้วยสัดส่วน 566 แรงม้าต่อตัน และตัวรถเปล่าที่เบาที่สุดที่ 1,326 กิโลกรัม
ส่วนของปลายด้านหน้ารถ (จมูกรถ) ที่ต่ำลง ออกแบบให้ช่องรับอากาศเข้าบริเวณไฟหน้าหรือ Eye Socket ให้แคบลง Sill Air Intake แบบใหม่ ช่องรับอากาศเข้าแบบใหม่บริเวณซุ้มล้อหลัง ระบบควบคุมอากาศพลศาสตร์ด้านหลัง พร้อมเพิ่มความยาวส่วนหลังเพิ่มรีดลมไปยังปีกคาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังที่ออกแบบให้สูงขึ้นและยาวขึ้น โดยปีกชุดนี้อยู่เหนือชุดท่อไอเสียตรงกลาง
ออพชั่นสำหรับชุดตกแต่งไฟหน้ามีให้เลือกทั้งแบบสีเดียวกับตัวรถและแบบคาร์บอนไฟเบอร์ หรือจะเป็นชุดช่องรับอากาศใหม่ทั้งที่กันชนหน้าและกันชนหลังก็มีให้เลือกเช่นกัน ในหมวดหมู่วัสดุน้ำหนักเบา (Lightweight Material) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
การออกแบบภายในปรับแต่งใหม่ทั้งหมดโดยให้คนขับเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ชูนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นจอควบคุม Active Dynamic Settings ติดตั้งตรงคอพวงมาลัยรถ และสวิทช์แบบคันโยก สามารถปรับโหมดช่วงล่างและระบบส่งกำลังได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Apple CarPlay® ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นนี้ และที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบบ USB-C และ USB-A พร้อมด้วยหน้าจอ Central Information Screen แบบใหม่ กล้องมองหลังและกล้องมองรอบรถที่อัพเกรดให้มีความละเอียดและภาพคมชัดมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังมี ระบบ Vehicle-Lift ใหม่ล่าสุด เพียงปุ่มเดียวก็สามารถยกด้านหน้าของรถขึ้นได้อย่างฉับพลันใน 4 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารถแมคลาเรนรุ่นอื่นๆ และเร็วกว่า McLaren 720S (ที่ใช้เวลา 10 วินาที)
ด้วยสัดส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 587 แรงม้าต่อตัน เหนือกว่าคู่แข่งถึง 22 แรงม้า (เมื่อเทียบน้ำหนักรถเปล่าของรุ่นคูเป้) มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตร V8 Twin Turbo ทรงพลัง 750 แรงม้า ด้วยแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร ระบบขับเคลื่อนล้อหลังใหม่ สอดประสานกันกับชุดเกียร์ 7 สปีด เอื้อให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 2.8 วินาที และเร่งความเร็วจาก 0-200 กม./ชม. ภายใน 7.2 วินาที สำหรับรุ่นคูเป้ และ 7.3 วินาที สำหรับรุ่นสไปเดอร์
ทัศนวิสัยการขับที่ดีรอบด้านบนโครงสร้างหลักแบบโมโนค็อก พร้อมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ที่มี A-pillar แบบบางพิเศษและ C-pillar แบบโปร่งแสงทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มแสงธรรมชาติให้เข้ามาให้ห้องโดยสารได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คนขับยังสามารถมองเห็นเครื่องยนต์ได้จากภายในห้องโดยสาร พร้อมความมั่นใจในการบริการสูงสุดกับการรับประกันถึง 3 ปี