Mazda CX-5 2025 Minorchange ดีไซน์ใหม่ พร้อมปรับฐานราคาถูกลง 100,000 – 250,000 บาท
Mazda CX-5 2025 Minorchange ดีไซน์ใหม่ พร้อมปรับฐานราคาถูกลง 100,000 – 250,000 บาท

Mazda CX-5 2025 Minorchange ปรับราคาคุ้มค่าดีไซน์ใหม่ พร้อมปรับฐานราคาถูกลง 100,000 – 250,000 บาท

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ประกาศปลุกกระแสตลาด C-SUV ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมเปิดตัวครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นยอดนิยมเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด New Mazda CX-5 ที่ได้รับการพัฒนาให้ครบครันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในทุกด้าน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคใหม่ โดยมีให้เลือกเครื่องยนต์ Skyactiv-G 2.0 ลิตร และ Skyactiv-D 2.2 ลิตร ที่สำคัญได้ปรับฐานราคาใหม่ถูกลงกว่ารุ่นที่ผ่านมา 100,000 – 250,000 บาท 

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการปรับรายละเอียดด้านหน้าและด้านท้าย ส่วนดีไซน์ตัวถังยังคงเดิมทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Signature ที่ออกแบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นรูปตัว L ซ้อนกัน มีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุก

กระจังหน้ามีการปรับรายละเอียดกรอบโครเมียม พร้อมกันชนหน้าที่เน้นความมินิมอลคล้ายกับ Mazda3 และ CX-30 รุ่นปัจจุบัน โดยที่รุ่น XDL จะมีการตกแต่งส่วนล่างของกันชนและซุ้มล้อด้วยสีเดียวกับตัวรถ ทำให้ภาพรวมดูมีความพรีเมียมแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร

ส่วนด้านท้ายมีการปรับดีไซน์ไฟท้ายให้ดูกลมกลืนกับไฟหน้า พร้อมกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ทุกรุ่นย่อยได้ประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Hand Free Power Lift Gate สามารถสอดเท้าบริเวณใต้กันชนเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้

ส่วนล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 S เป็นขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่ทั้งหมด

สีภายนอกมีให้เลือก 7 สี โดยมี 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเทา Polymetal Gray และสีบรอนซ์ Platinum Quartz จำหน่ายควบคู่ไปกับ 5 สีเดิม ได้แก่

- สีขาว Snowflake White Pearl
- สีดำ Jet Black
- สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue
- สีเทา Machine Gray
- สีแดง Soul Red Crystal

ภายในห้องโดยสาร


การตกแต่งภายในห้องโดยสารยกดีไซน์มาจากรุ่นเดิมทั้งหมดเช่นกัน แต่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความพรีเมียมตามฉบับมาสด้า โดยเฉพาะรุ่น XDL ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa สี Deep Red ผิวสัมผัสเนียนละเอียดแบบรถยุโรป ซึ่งสีของหนังจะออกไปทางสีแดงเข้มจัดจนเกือบจะเป็นสีดำ โดยรวมแล้วดูมีความภูมิฐานดี

จุดเปลี่ยนภายในห้องโดยสารก็คือเรือนไมล์ที่มีการปรับดีไซน์แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า โดยยังคงรูปแบบ Analogue ควบคู่ไปกับจอสี TFT ที่ออกแบบได้อย่างกลมกลืน มีความสวยงามและดูพรีเมียม ถือเป็นรายละเอียดที่มาสด้าทำได้ค่อนข้างดี

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ดีไซน์ยกมาจากรุ่นก่อนหน้า (อีกแล้ว) สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง เพิ่มเติมด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Sports Paddle Shift ทุกรุ่นย่อย โดยที่รุ่น XDL จะถูกเพิ่มเติมด้วยปุ่ม Mi-Drive เพื่อเปิดใช้งานโหมด Off Road เนื่องจากเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่ยกชุดมาจากรุ่นเดิม น่าเสียดายที่รูปแบบการแสดงผล หรือ User Interface ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน มาพร้อมกับปุ่ม Center Commander บริเวณคอนโซลกลางที่ช่วยให้สามารถควบคุมสั่งการได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าจอสัมผัสเพียงอย่างเดียว

ถึงกระนั้น Mazda CX-5 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ก็ได้มีการเพิ่มระบบ Wireless Apple CarPlay มาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่ง Android Auto ยังคงต้องเสียบผ่าน USB เหมือนเดิม โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้แท่นชาร์จ Wireless Charger เพิ่มขึ้นมา

สำหรับเบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับเอนพนักพิงได้ แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศห้องโดยสารตอนหลังของ CX-5 ไม่ได้โปร่งโล่งเท่ากับคู่แข่ง เน้นไปที่ความกระชับในการโดยสารเสียมากกว่า

ระบบเสียง Bose พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งลงใน Mazda CX-5 ถือว่ามีคุณภาพเสียงใช้ได้ทีเดียว ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แน่นๆ ซึ่งเครื่องเสียงชุดนี้ก็ตอบสนองโสตประสาทได้เป็นอย่างดี เนื้อเสียงมีน้ำมีนวล จะเปิดเพลงหรือพอดคาสต์ก็รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง

อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกบังลมหน้า (Windshied Active Driving Display), ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยว AFS, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 รอบทิศทาง

ขณะที่ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE ของ Mazda CX-5 2025 ไมเนอร์เชนจ์ ประกอบด้วย

- LAS - Lane-Keep Assist System
- DAA - Driver Attention Alert
- LDWS - Lane Departure Warning System
- MRCC w. Stop & Go - Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go
- RCTA - Rear Cross Traffic Alert
- ABSM - Advanced Blind Spot Monitoring
- SBS - Smart Brake Support
- Advance SCBS - Advanced Smart City Brake Support
- SCBS-R Smart City Brake Support - Reverse
- ALH - Adaptive LED Headlamps

โดยที่รุ่น 2.0 SP และ XDL จะได้ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS - Cruising Traffic Support) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go เพิ่มขึ้นมา หรือพูดง่ายๆ ก็คือแบบ All-speed ที่สามารถลดความเร็วอัตโนมัติได้จนถึง 0 กม./ชม. นั่นเอง

เครื่องยนต์และช่วงล่าง
รุ่น 2.0 S และ 2.0 SP ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.9 กม./ลิตร รองรับน้ำมัน E85

รุ่น XDL ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5

ขณะเดียวกันช่วงล่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเสริมคานด้านล่างของห้องโดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างตัวถัง และมีการเปลี่ยนสปริงและโช้กที่ช่วยลดแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสาร เพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

Mazda CX-5 2025 ใหม่ มีการปรับลดรุ่นย่อยจาก 4 รุ่น เหลือ 3 รุ่น พร้อมราคาจำหน่ายทางการ ดังนี้

รุ่น 2.0 S ราคา 1,219,000 บาท
รุ่น 2.0 SP ราคา 1,299,000 บาท
รุ่น XDL ราคาประมาณ 1,669,000 บาท

จะเห็นว่ามาสด้าได้มีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 TURBO ออก แล้วเหลือไว้เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.2 ลิตรเท่านั้น

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง