เหนือชั้นสุดๆ! เปิด 8 โหมดะบบไฮบริดของ ALL NEW MG3 HYBRID+ สมรรถนะเต็มกำลัง ขับสนุกทุกการเดินทาง
เหนือชั้นสุดๆ! เปิด 8 โหมดะบบไฮบริดของ ALL NEW MG3 HYBRID+ สมรรถนะเต็มกำลัง ขับสนุกทุกการเดินทาง

เรียกได้ว่าตอนนี้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เริ่มทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโก เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาบุกตลาดใน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนรักรถอย่างมากมาย

โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ HYBRID+ ซึ่งใช้การบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งมีแรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 ส่งผลให้แรงม้ารวมสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ทั้งนี้ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังมาพร้อมกับ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว และสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ได้อย่างเร้าใจ งานนี้จะมีโหมดไหนที่น่าสนใจบ้าง มาดูกัน

1. โหมดจอดหยุดนิ่ง

ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้ แม้เครื่องยนต์หยุดการทำงานแล้วก็ตาม

2. โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 - 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้รู้สึกถึงความนุ่มนวลและเงียบคล้ายกำลังขับรถไฟฟ้าอยู่ พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองเป็นอย่างดี

3. โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น

ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 - 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไว และมีความคล่องตัวมากขึ้น

4. โหมดความเร็ววิ่งในเมือง

แต่เมื่อความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 - 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วงใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะเข้าสู่การสัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง

5. โหมดความเร็ววิ่งคงที่

เมื่อเข้าสู่ช่วงการขับขี่ระยะไกล ด้วยความเร็วคงที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำ โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

6. โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง

เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 - 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ในทันที

7. โหมดความเร็วสูง

และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงาน อย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

8. โหมดลดความเร็ว Regenerative

เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด

และนี่ก็คือความโดดเด่นของระบบ HYBRID+ ที่ผสานพลังอย่างลงตัวกับเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญ ตลาดรถยนต์ของไทยก็เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย เร็ว ๆ นี้ เช่นกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง