Mitsubishi Motors (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น) เปิดตัวรถยนต์ ฟูลไฮบริด ใหม่! Mitsubishi Xpander HEV (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี) และ Xpander Cross HEV (เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี) ครั้งแรกของโลก โดยเป็นครั้งแรกของรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่งขนาดเล็กในไทย ที่มาพร้อมระบบ Full Hybrid (ฟูลไฮบริด) ผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไว้อย่างลงตัวที่สุด
ชูจุดเด่น 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง แบบ Mitsubishi e:MOTION พร้อมเดินหน้ารุกตลาดและเริ่มจำหน่ายในไทยทันที โดยรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดทั้ง 2รุ่นนี้ จะผลิตขึ้นในไทย ที่บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ณ โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่!
Mitsubishi Xpander HEV รถครอบครัวเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เข้ากับรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่แบบรถ SUV ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2017 ก่อนที่จะขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่ Mitsubishi Xpander Cross ได้เปิดตัวตามมาในปี 2019
ทั้งนี้ ยานยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ นับเป็นยนตรกรรมรุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ขับเคลื่อนการเติบโตให้กับบริษัทฯ ด้วยยอดขายรวมกว่า 130,000 คัน1 ทั่วโลก ในปีงบประมาณ 2565 ถือเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ต่อจากMitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน)2 และ Mitsubishi Outlander (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์) มียอดขายสะสมรวมสูงกว่า 650,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรก
และเฉพาะในไทย Mitsubishi Xpander มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้นสูงกว่า 64,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2561
รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นนี้ ได้ผสานระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบควบคุมการขับเคลื่อน อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน
ไฮไลท์สำคัญ: Mitsubishi e:MOTION
Mitsubishi e:MOTION ประสบการณ์ขับขี่ใหม่เหนือระดับ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง โดยผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์ของ 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แก่
- ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)
- โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน
- ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง
ภาพรวมผลิตภัณฑ์ (สเปกรถยนต์ที่จำหน่ายในไทย) 3 ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System)
มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) รูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด และระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรกหรือ Regenerative Braking จึงโดดเด่นในด้านอัตราประหยัดน้ำมัน พร้อมมอบความสนุกแห่งการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งปรับเข้าสู่รูปแบบการขับขี่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่ และพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ ณ ขณะนั้น
เมื่อเริ่มออกตัว และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) (แผนภาพที่ 1) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
จากนั้น ในขณะที่ขับรถขึ้นเนินที่ลาดชันหรือในขณะที่เร่งความเร็ว ระบบจะทำการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด โดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับการปั่นไฟฟ้าให้เกิดพลังงานจากเครื่องยนต์ (แผนภาพที่ 2)
และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน (แผนภาพที่ 3) เนื่องจากเครื่องยนต์เริ่มทำงานอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ผู้ขับขี่จึงสามารถเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพแห่งการเดินทางอันรื่นรมย์ สะดวกสบายแม้ในรูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด ขณะที่เมื่อชะลอความเร็ว ตัวรถจะเข้าสู่รูปแบบ Regenerative Braking ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรก จึงสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อเก็บสำรองพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ (แผนภาพที่ 4)
ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนาจากความสำเร็จของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) จึงมอบการขับขี่ที่เงียบสงบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง และปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมๆ กับการมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายในแบบรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลถึงพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด มอบอัตราเร่งที่ทรงพลัง ไหลลื่นไม่มีสะดุด ตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC โดยมีแบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ
มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ตอบสนองต่อแรงบิด 255 นิวตัน-เมตร ได้อย่างรวดเร็วเมื่อออกตัว และให้อัตราเร่งที่ทันใจเมื่อกดคันเร่ง
เครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับการพัฒนาใหม่ขนาด 1.6 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว4 มีอัตราส่วนการขยายตัวสูง (วงจรAtkinson) พร้อมประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สูงกว่าด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นครั้งแรก พร้อมคอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียทางกล ช่วยเสริมให้อัตราประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์ดีขึ้น กว่าเดิมราวร้อยละ 34 สำหรับการขับขี่ในเมือง และให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นกว่าเดิมราวร้อยละ 15 สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง (ตามมาตรฐาน NEDC)
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน ไปได้ทุกที่ตามต้องการ
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วย โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมดและอีก 5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกันตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ เพื่อสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ
ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมด ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ซึ่งประกอบด้วย EV Priority Mode ที่ขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ โดยปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์ โหมดนี้ทำงานอย่างเงียบสงบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากพลังงานแบตเตอรี่เหลือน้อย ผู้ขับขี่สามารถปรับเข้าสู่ Charge Mode เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกเวลา ทั้งในขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่หรือขณะหยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถกลับมาสนุกกับการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกครั้ง
โหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำบนพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างหลากหลายตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยพัฒนาระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าให้ดียิ่งกว่ารุ่นเดิม ผสานกับระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ทั้งระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ควบคุมแรงเบรกระหว่างล้อหน้าด้านซ้ายและด้านขวาให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ที่ช่วยตรวจจับอาการลื่นไถลของล้อหน้าและควบคุมพละกำลังการขับเคลื่อน ระบบควบคุมอัตราเร่ง (Acceleration Control) ที่ช่วยปรับกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ทำงานสอดประสานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีการกดคันเร่ง และระบบควบคุมน้ำหนักพวงมาลัย (Steering Control) ที่ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้ตอบสนองได้ดั่งใจตามความเร็วและสภาพพื้นผิวถนน โดยมีรายละเอียดดังนี้
• Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
• Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล ให้การควบคุมที่มั่นใจและเกาะถนนเป็นเลิศแม้ขณะฝนตกหนัก
• Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ
• Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ แม้บนถนนที่คดเคี้ยว
• Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน
โหมดการขับขี่ทุกรูปแบบสร้างขึ้นเพื่อมอบความปลอดภัยและสะดวกสบายบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ ซึ่งผู้ขับขี่ต้องพบเจอเป็นประจำ
ภายในห้องโดยสาร โดดเด่นสะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว แสดงข้อมูลสำคัญ อาทิ แสดงรูปแบบการขับขี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์การขับขี่และอัตราเร่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงาน อัตราการประหยัดพลังงานเมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ระดับพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ และข้อมูลอื่นๆ
ทั้งนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ จะมีการแสดงภาพกราฟฟิกกลางหน้าจอเพื่อแจ้งโหมดการขับขี่ที่กำลังทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่ยังเลือกการแสดงผลหน้าจอได้ตามความต้องการ ระหว่างแบบ Enhanced Mode ที่ล้ำสมัยหรือแบบ Classic Mode ที่ถอดแบบมาจากมาตรวัดระบบอนาล็อก
ส่วนห้องโดยสารภายในกว้างขวาง สะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม มุ่งเน้นการขับขี่ที่เงียบสงบ ผ่อนคลาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเพิ่มวัสดุกันเสียงและดูดซับเสียงรบกวนในจุดสำคัญต่างๆ ทั่วตัวรถ
เสริมความเงียบสงบภายในห้องโดยสารได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เพียงขณะขับขี่ในรูปแบบ EV แต่รวมถึงขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน ทั้งในขณะที่เร่งความเร็วหรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดดเด่นด้วยดีไซน์หัวเกียร์ใหม่แบบ Electric Shift ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบเกียร์ไฟฟ้า (Shift-by-Wire) อันทันสมัย เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานได้ง่าย
เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ชุดแบตเตอรี่ขับเคลื่อนจึงได้รับการติดตั้งไว้ใต้พื้นบริเวณเบาะนั่งคู่หน้า จึงทำให้ยังคงมีพื้นที่ห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว กว้างขวางที่สุดในบรรดารถยนต์ระดับเดียวกัน รองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง อีกทั้งห้องเครื่องยนต์และบริเวณรอบชุดแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่
โดยชุดแบตเตอรี่ยังได้รับการปกป้องด้วยคานรับด้านหน้าและคานขวางด้านหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานของตัวถัง พร้อมด้วยการพัฒนาช่วงล่างและระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งหมดเป็นพิเศษ ประสิทธิภาพของระบบเบรกยังปรับปรุงใหม่ ด้วยดิสก์เบรกครบทั้ง 4 ล้อ
ภายนอกตัวรถ โดดเด่นด้วยโลโก้ “HEV” ที่กระจังหน้าและฝาประตูท้าย พร้อมด้วยโลโก้ “HYBRID EV” ที่ประตูหน้า และการตกแต่งด้วยเส้นสายสีน้ำเงินที่กันชนหน้า กาบข้างประตู กันชนหลัง และล้ออัลลอยแบบทูโทนทั้ง 4 ล้อ
สีตัวถังมีให้เลือกหลากหลาย มาพร้อมสีใหม่ล่าสุดที่เพิ่มจากรุ่นก่อน คือ สีขาว White Diamond ร่วมด้วยสีที่โดดเด่นสะดุดตา อย่าง สีเงิน Blade Silver Metallic สีเทา Graphite Gray Metallic และสีดำ Jet Black Mica รวมถึงสีเขียว Green Bronze Metallic ที่เป็นสีพิเศษเฉพาะของรุ่น Xpander Cross HEV
โดยในโอกาสเฉลิมฉลองการเปิดตัวใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมมอบราคาพิเศษช่วงแนะนำ ตั้งแต่วันนี้ - 7 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ โดย Mitsubishi Xpander HEV ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 912,000 บาท ขณะที่ Mitsubishi Xpander Cross HEV ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 946,000 บาท ซึ่งราคาเท่ากับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน
หลังจากช่วงเวลาพิเศษ Mitsubishi Xpander HEV ใหม่! จะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 933,000 บาท และ Mitsubishi Xpander Cross HEV ใหม่! มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 961,000 บาท ซึ่งมีราคาที่ไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน
นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ตร้า แคร์ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถครอบครองและขับขี่รถทั้งสองรุ่นใหม่นี้โดยไม่ต้องกังวล ได้แก่
• การรับประกันคุณภาพรถใหม่ ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
• แพ็กเกจบำรุงรักษานาน 5 ปี
ฟรีค่าแรงสำหรับการเช็คระยะตลอด 5 ปี
• บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี พร้อมกับประกันภัยชั้น 1 ฟรีหนึ่งปี
เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด บริษัทฯ จึงขยายการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฮบริด ยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง และขยายการรับประกันพิเศษสำหรับแบตเตอรี่ขับเคลื่อนไฮบริดในปีที่ 6-10 โดยไม่จำกัดระยะทาง
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอสุดพิเศษ ให้ลูกค้าทุกท่านเป็นเจ้าของทั้ง 2 รุ่น ได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยดอกเบี้ยพิเศษ 0% สำหรับดาวน์ 25% และผ่อนนาน 48 เดือน
หมายเหตุ:
1. ยอดขายรวมทั้งหมดของเอ็กซ์แพนเดอร์ และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส
2. จำหน่ายในชื่อ L200 ในบางประเทศและภูมิภาค
3. สเปกและคุณสมบัติของรถอาจแตกต่างไปตามรุ่นย่อยและตลาดที่จำหน่าย
4. MIVEC (Mitsubishi Innovative Valve timing Electronic Control system) เป็นชื่อของระบบวาล์วแปรผันของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส