Porsche (ปอร์เช่) นำเสนอรถแข่งสำหรับบรรดานักสะสมผู้หลงใหลในยนตรกรรมสปอร์ต ณ งาน Rennsport Reunion 7 ซึ่งจัดขึ้นที่ WeatherTech Raceway Laguna Seca สำหรับ Porsche 911 GT3 R Rennsport (911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต) ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 620 แรงม้า) มีพื้นฐานมาจาก 911 GT3 R (911 จีที 3 อาร์) ใหม่ของ 992 เจเนอเรชั่น จำนวนจำกัดเพียง 77 คันในโลก

Porsche 911 GT3 R Rennsport มาพร้อมตัวถังที่ออกแบบอย่างโดดเด่น รถแข่งสมรรถนะสูงเข้ากับองค์ประกอบที่ทันสมัย และย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตโดยไม่ต้องมีรูปทรงแบบย้อนยุค สมรรถนะของรุ่น GT3 ดั้งเดิม อาทิ แรงต้านของอากาศ และแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ จะยังคงไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะรถแข่งพันธุ์แท้

รถสปอร์ตสุดพิเศษคันนี้ออกแบบโดย Grant Larson (แกรนท์ ลาร์สัน) และ Thorsten Klein (ธอร์สเทน ไคลน์) จากทีมงาน สไตล์ ปอร์เช่ (Style Porsche) ด้าน Grant Larson ให้ความเห็นว่า  “911 GT3 R rennsport ออกแบบใหม่อย่างกว้างขวาง ภายใต้ผิวคาร์บอน เพื่อเป็นรถแข่งพันธุ์แท้ โดยใช้ 911 GT3 R รุ่นปัจจุบันของ 992 มาเป็นรุ่นพื้นฐาน 

และจะเข้ามาแทนที่ปอร์เช่ 935 รุ่นใหม่ โดยรุ่น 935 นี้มีพื้นฐานมาจากรุ่น 911 GT2 RS Clubsport  โดย Grant Larson ชาวอเมริกัน ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพิเศษที่ สไตล์ ปอร์เช่ Style Porsche มาเป็นเวลากว่า 14 ปี เขาร่วมกับ Thorsten Klein รับผิดชอบรถยนต์ผลิตพิเศษ Porsche Exclusive Manufaktur

Thorsten Klein กล่าวเสริมว่า "เราได้เพิ่มความกว้างและขยายความยาวให้กับรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นขึ้นเล็กน้อย แต่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้ ขณะเดียวกันก็วางตำแหน่งล้อที่ออกแบบอย่างสวยงามให้ต่ำลง ทำให้ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น" 

ดีไซน์โดดเด่นด้วยส่วนท้ายที่กว้าง โดยทั่วไปแล้ว เฉพาะฝากระโปรงหน้าและหลังคาเท่านั้นที่ถูกนำมาจากรุ่นมาตรฐาน GT3 R ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ของตัวถังได้ถูกเปลี่ยนแปลง ทีมงานได้นำรูปทรงส่วนหน้าของรถที่ปรับแต่งตามหลักอากาศพลศาสตร์มาใช้ รวมถึงช่องอากาศเข้าและท่อระบายความร้อนด้วย

นักออกแบบยังได้เน้นการมองเห็นในบริเวณรอบๆ ด้านข้างเพิ่มระยะเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการกระแทก ซุ้มล้อหน้า กระจกมองข้างใหม่ในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัวที่รวมอยู่ในส่วนตัวถังด้านนอกรถ และจอภาพที่นั่งคนขับ

ปีกหลังขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ปรับรับกับกระแสทางลม การออกแบบรถชวนให้นึกถึงรถในตำนานอย่าง Brumos Porsche 935/77 ซึ่ง 3 นักแข่งในตำนานอย่าง Peter Gregg ชาวอเมริกัน, Toine Hezemans ชาวดัตช์ และ Rolf Stommelen ชาวเยอรมัน ได้นำรถรุ่นนี้คว้าชัยชนะโดยรวมครั้งที่ 7 ให้กับ Porsche ในรายการ 24 Hours of Daytona ในปี 1978

พร้อมเพิ่มอุปกรณ์เสริมอีก 3 ตัว เหมาะสำหรับการใช้งานเสมือนรถแข่ง Porsche 962 Le Mans ดีไซน์แถบไฟ LED เชื่อมช่องว่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน รวมตัวอักษรเรืองแสงคำว่า Porsche ไว้ด้วยกัน รวมถึงชุดไอเสียที่มีท่อไอเสียคู่อยู่ตรงกลาง

การออกแบบภายใน มีจอภาพจากกล้องภายนอกติดตั้งอยู่บริเวณบังโคลน 2 ตัว กราฟิกพิเศษสำหรับหน้าจอแสดงผลตรงกลางและหมายเลขรุ่นลิมิเต็ดบนแผงหน้าปัดได้ถูกดีไซน์แบบเดียวของรถแข่ง ด้านความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐาน FIA ที่บังคับใช้ โครงเหล็กเสริมความแข็งแรงของตัวถังรถ (Roll Cage) ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษติดตั้งที่บริเวณเบาะนั่งคนขับ เช่นเดียวกับ 911 GT3 R ที่มีการใช้งานทั่วโลกทำให้ "Rennsport" ถูกจำกัดเป็นรถแข่งที่นั่งเดียว

ขอบล้อขนาด 18 นิ้วจาก BBS ที่สะดุดตา และตกแต่งด้วยสี Dark Silver Metallic เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยปอร์เช่ได้นำเสนอไอเท็มสำหรับนักสะสมรุ่นใหม่ด้วยตัวถังคาร์บอนบริสุทธิ์ สี Agate Grey Metallic มีให้เลือก 7 สี อาทิเช่น Star Ruby และ Signal Orange เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสีพิเศษ 3 แบบ ซึ่งสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้

"การออกแบบ Rennsport Reunion" มีสีพื้นฐานมาจากมอเตอร์สปอร์ตดั้งเดิม ลวดลายตัวถังออกแบบให้ไหลลื่น ผสมผสานมุมโค้ง Corkscrew ในตำนานที่ Laguna Seca ซึ่งเป็นสถานที่เปิดตัว 911 GT3 R rennsport ครั้งแรกของโลก ตอกย้ำความโดดเด่นด้วยพื้นผิวคาร์บอนเคลือบใสกึ่งเงา 

พร้อมกับสีโทนสีแดงและสีขาว "Flacht Design" ที่ Porsche Motorsport มักเลือกใช้ พร้อมบังโคลนดีไซน์เฉพาะ และเฉดสีน้ำเงินต่างๆ ซึ่งเน้นไปที่บริเวณความกว้างตัวรถเป็นหลัก ส่วนคำว่า "Flacht" คือชื่อเขตที่ Porsche Development Center Weissach และเป็นที่ตั้งแผนกมอเตอร์สปอร์ต

เครื่องยนต์รถแข่งที่ทรงพลังยิ่งขึ้น กับเครื่องยนต์ Boxer ขนาด 4.2 ลิตร แบบ 6 สูบ ของ 911 GT3 R รอบเครื่องยนต์ 9,400 รอบ/นาที ให้พละกำลังสูงสุด 620 แรงม้า นั่นหมายถึงกำลังมากถึง 148 แรงม้า/1 ลิตร พร้อมหัวฉีดออกแบบให้ทำงานด้วยเชื้อเพลิง E25 รวมไปถึงเชื้อเพลิงไบโอเอทานอล (Bio-Ethanol) และ reFuel นอกเหนือจากเชื้อเพลิง e-fuels ที่ผลิตขึ้นใหม่

ระบบส่งกำลังไปยังล้อหลัง รวมถึงระบบเกียร์ 6 สปีด ใช้การเปลี่ยนเกียร์ควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ อัตราการส่งกำลังของเกียร์เดินหน้าที่เกียร์ 4, 5 และ 6 สอดคล้องกับการตั้งค่า Daytona ของรถแข่ง GT3 ในเกียร์ 6 ด้วยความเร็วรอบเครื่องยนต์ 9,000 รอบ/นาที ช่วยให้รถมีความเร็วสูงสุดที่สูงกว่าอัตราทดเกียร์ที่สั้นกว่าของ FIA ของ GT3 R ประมาณ 20 กม./ชม.

สำหรับระบบเสียงแบบรถแข่ง พร้อมปลายท่อไอเสียคู่วางตำแหน่งอยู่ตรงกลาง ให้เสียงเครื่องยนต์ที่สมจริง แต่จะมีเวอร์ชันที่เงียบกว่าอีก 2 เวอร์ชัน ที่ติดตั้งตัวเก็บเสียงและแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ สำหรับสนามการแข่งขันที่มีข้อจำกัดเรื่องเสียงรบกวน

ส่วนโครงสร้างกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ที่ล้ำสมัย มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงค์ด้านหลัง โช๊คอัพแบบปรับได้ 5 รูปแบบ และยางรถแข่งมิชลิน ที่ปรับใช้กับดอกยางคอมปาวน์แบบใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์ในการ Warm-Up และสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น

ระบบเบรกอะลูมิเนียม monobloc สำหรับรถแข่งจาก AP มาพร้อมผ้าเบรกแผ่นรองหลังไทเทเนียม โดยลดน้ำหนักรถที่อยู่ใต้สปริงทั้งหมดลงประมาณ 1 กิโลกรัม สำหรับถังนิรภัย FT3.5 ใหม่ มาพร้อมการลดน้ำหนักเช่นกัน มีความจุ 117 ลิตร เบากว่ารุ่นก่อนถึง 1 กิโลกรัม และการกำจัดระบบปรับอากาศ การระบายอากาศสำหรับผู้ขับขี่ มาจากแนวคิดการระบายความร้อนเบาะนั่งของ 911 GT3 R โดยรวมแล้วนักพัฒนามีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักลงได้ 1,240 กิโลกรัม