ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 Colin Chapman ผู้ก่อตั้งรถยนต์แบรนด์ Lotus (โลตัส) ได้หยุดพักจากการผลิตรถ Formula One อันเป็นที่รักของเขา จึงขอให้นักออกแบบใน Lotus คือ Geoff Ferris มาออกแบบรถแข่งสำหรับซีรีส์ Can-Am ที่กำลังเป็นที่นิยมสูงในรายการ IMSA ที่อเมริกาเหนือ

แต่น่าเสียดายที่โครงการ Type 66 เป็นแค่เพียงภาพร่างแค่ในกระดาษ เพราะไม่เคยได้ผลิตจริง จนกระทั่ง Lotus ฉลองครบรอบ 75 ปี จึงใช้โอกาสนี้ในการผลิตขึ้นเพื่อระลึกถึง การตีความรถมีความทันสมัยขึ้นเล็กน้อย

"Type 66 ผสมผสานอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว ช่วยให้ผู้ขับขี่ย้อนเวลากลับไปสู่การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เสียง และความสมจริงของมอเตอร์สปอร์ตเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว พร้อมด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยในศตวรรษที่ 21 ที่เพิ่มมากขึ้น" Simon Lane กรรมการบริหารของ Lotus Advanced Performance กล่าว

การสร้าง Lotus Type 66 ต้องใช้เวลาในอุโมงค์ลมกว่า 1,000 ชั่วโมง และมีแรงกดสูงถึง 800 กก. ที่ความเร็ว 150 ไมล์/ชม. (หรือ 241 กม./ชม.) ซึ่งมากกว่าน้ำหนักตัวรถด้วยซ้ำ

รูปลักษณ์ภายนอกใช้สีขาว แดง และลายกราฟิคสีทอง สไตล์ยอดฮิตในยุคนั้น โดย Lotus Type 66 ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Lotus Type 72 ซึ่งเป็นรถแข่งสูตรหนึ่งที่ดีที่สุดในยุคนั้น ออกแบบให้เพิ่มแรงกดในด้านหน้า และส่งกระแสลมข้ามตัวรถไปด้านหลัง ส่วนท้ายปีกหลังขนาดใหญ่ช่วยเพิ่มแรงกด ทำความเร็วได้สูง

ส่วนตัวรถออกแบบด้วยภาพ 3 มิติ แชสซีส์ออกแบบตรงยุค ด้วยการเชื่อมชิ้นส่วนอลูมิเนียมกับแผงโครงสร้างแบบอลูมิเนียมรังผึ้ง ชิ้นส่วนตัวรถขึ้นรูปจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ติดตั้งรังผึ้งหม้อน้ำด้านข้างเพื่อลดแรงฉุด ระบบบังคับเลี้ยวใช้เพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ติดตั้งระบบเบรก ABS ติดตั้งโรลบาร์ พร้อมทั้งได้ย้ายถังเชื้อเพลิงเข้าไปด้านใน ให้ปลอดภัยแบบรถแข่งยุคปัจจุบัน

ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ V8 แบบ OHV ให้กำลังสูงสุด 830 แรงม้า ที่ 8,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 746 นิวตัน-เมตร ที่ 7,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ Sequential กับคลัทช์มัลทิพเลท

สำหรับ Lotus Type 66 ผลิตเพียงแค่ 10 คัน เท่านั้น ในราคา 1,000,000 ปอนด์ หรือประมาณ 44,000,000 บาท

แหล่งที่มาจาก
- Carscoops