Volvo (วอลโว่) ได้ประกาศในระหว่างงาน Climate Week NYC ในสหรัฐอเมริกา ว่า ขณะนี้ทางบริษัทฯ กำลังเตรียมหยุดผลิตรถเครื่องยนต์ดีเซลในปีหน้านี้ ซึ่งจะกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปรายแรกๆ ที่จะไม่มีรถเครื่องยนต์ดีเซลออกมาเป็นตัวเลือกอีก นับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในครั้งนี้
Volvo อ้างถึงความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่ข้อบังคับด้านการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้น และการมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นเหตุผลหลักที่ Volvo ตัดสินใจเลิกใช้เครื่องยนต์ดีเซล แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซลจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่จะปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) มากกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพอากาศ
เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร Turbo รุ่นล่าสุดของ Volvo ซึ่งมีแรงม้าตั้งแต่ 148 แรงม้า ไปจนถึง 232 แรงม้า ขึ้นอยู่กับรุ่น (D3, D4 หรือ D5) ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ Turbo เดี่ยวหรือคู่ และยังมีเทคโนโลยี Mild Hybrid เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
Volvo ยอมรับว่าดีเซลเคยเป็น "ของธรรมดาสามัญ" สำหรับคนใช้รถยนต์ในยุโรป แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และปลั๊กอินไฮบริด ตามรายงานของ Reuters รายงานว่า รถวอลโว่ ที่ขับเคลื่อนด้วยดีเซลมียอดการผลิตลดลงในปี 2019 มาเป็นสัดส่วนเพียง 8.9% ของยอดขายทั่วโลกในปี 2022
นอกจากนี้ ตามข้อมูลการขายล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 Volvo ขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคิดเป็น 33% และยอดขายที่เหลืออีก 67% เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปด้วยเชื้อเพลิง ส่วนแบ่งของรถยนต์ดีเซลในตลาดยุโรปลดลงเหลือ 14.1% ในเดือนกรกฎาคม 2566 จากที่เคยมากถึง 50% เมื่อย้อนไปในปี 2015
ทาง Volvo ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นแบรนด์รถไฟฟ้าในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2040 โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัทรถยนต์รายนี้ ได้ยกเลิกการพัฒนาเครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซล เพื่อมุ่งเน้นถึงการใช้พลังงานไฟฟ้า
Jim Rowan CEO ของ Volvo Cars กล่าวว่า "รถยนต์พลังงานไฟฟ้าคืออนาคตของเรา และเหนือกว่าเครื่องยนต์สันดาป เนื่องจากสร้างเสียงรบกวนน้อยลง การสั่นสะเทือนน้อยลง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อยลงสำหรับลูกค้าของเรา และการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียเป็นศูนย์"
แหล่งที่มาจาก
- Carscoops