นับตั้งแต่ MINI (มินิ) ได้เผยโฉมข้อมูลและรายละเอียดของ MINI Cooper รุ่นใหม่ออกมาในช่วงก่อนหน้านั้น ล่าสุดทาง MINI ก็ได้เปิดตัว MINI Cooper โฉมใหม่ล่าสุดในเจเนอเรชั่นที่ 5 ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว
โดยนำเสนอในรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งมีให้เลือกในรุ่นย่อยทั้ง Cooper E และ Cooper SE วิ่งได้ไกล 402 กม. และยังความคลาสสิกในรูปแบบรถ Hatchback 3 ประตูไว้เหมือนเดิม บนตัวรถที่ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง Cd = 0.28
รูปลักษณ์ภายนอกได้ปรับปรุงใหม่ และคงความเป็นสไตล์รถ EV เฉกเช่นเดียวกับ Mini Electric ในรุ่นที่แล้วไว้ผ่านการปรับปรุงใหม่ เริ่มตั้งแต่กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ ชุดไฟหน้าแบบ LED ทรงกลม ส่วนด้านข้างตัวรถเน้นความราบเรียบ มาพร้อมมือจับประตูเรียบไปกับตัวรถ แต่มีช่องให้มือสอดเข้าไปเปิดได้
โดยในส่วนของเสา A ถึงเสา C ใช้โทนสีดำ ทำให้หลังคาสีขาวดูลอยตัว มาพร้อมหลังคา Sunroof ล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 16-18 นิ้ว ส่วนด้านท้ายออกแบบไฟท้ายใหม่แบบสามเหลี่ยม พร้อมแถบสีดำติดชื่อรุ่น Cooper ตรงกลาง
ห้องโดยสารภายในเน้นความเป็น Minimal มากขึ้น แผงแดชบอร์ดมาพร้อมหน้าจอสัมผัส OLED ทรงกลมขนาด 9.4 นิ้ว เพียงจอเดียว ที่รวมหน้าจอแสดงข้อมูล และหน้าจอ Infotainment เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมหน้าจอ HUD บนกระจกหน้า และระบบจดจำเสียง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ MINI 9 โดยเริ่มคำสั่งด้วยคำว่า "Hey! MINI!"
พร้อมตกแต่งแผงแดชบอร์ดหน้า ด้วยวัสดุรีไซเคิลทั้งวัสดุแบบผ้า และพลาสติก รวมไปถึงพวงมาลัยหุ้มหนังแท้ที่ออกแบบใหม่ พร้อมแอร์แบบแนวยาวในฝั่งคนนั่ง อีกทั้งยังมีชุดไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสารด้วย
ส่วนแผงวงรีด้านล่าง เป็นสวิทช์ระบบเกียร์อัตโนมัติ สวิทช์สตาร์ทรถ ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ หรือสวิทช์ไฟเตือน เป็นต้น ซึ่งทาง MINI เรียกว่า "แถบสลับอะนาล็อก" แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย รวมทั้งที่วางแก้วน้ำคู่ และที่วางแขน บริเวณคอนโซลกลาง
ด้านระบบความใปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ มาพร้อมเซ็นเซอร์อัลตราโซนิค 12 ตัว และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 4 ตัว ซึ่งรองรับระบบช่วยจอดรถ, ระบบช่วยจอดรถ Plus ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม
นอกจากนี้ยังมีชุดระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับได้ รวมถึงระบบ Remote 360 ที่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบรถที่จอด และแม้แต่ภายในห้องโดยสารผ่านกล้องจากภายในรถ
ขุมพลังมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ Cooper E ที่จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 290 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 40.7 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลถึง 305 กม. เมื่อชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
พร้อมรองรับการชาร์จ AC สูงสุด 11 kW และ รองรับการชาร์จ DC Fast Charge ขนาด 75 kW ให้กำลังไฟจาก 10-80 % ในเวลา 30 นาที
ส่วนรุ่น Cooper SE ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวเช่นกัน แต่ให้กำลังมากกว่าถึง 218 แรงม้า แรงบิดสูงุสด 330 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ในเวลา 6.7 วินาที
ขณะที่ชุดแบตเตอรี่จะมีขนาด 54.2 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลถึง 402 กม. เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟ AC สูงสุด 11 kW และ รองรับการชาร์จ DC Fast Charge ขนาด 95 kW
MINI Cooper 2024 มีชุดแต่งให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ Essential Trim, Classic Trim, Favoured Trim และ JCW ส่วนราคาค่าตัวยังไม่เปิดเผย โดยรถจะลงโชว์รูมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 นี้