Lamborghini (ลัมโบร์กินี) เผยโฉมรถต้นแบบ Lamborghini Lanzador (ลัมโบร์กินี ลันซาดอร์) ณ งาน Monterey Car Week เพื่อแสดงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของแบรนด์ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% แห่งอนาคตเป็นรุ่นที่ 4
โดย Concept Car Lamborghini Lanzador นำเสนอรถยนต์กลุ่ม GT ยกสูงพร้อมที่นั่งแบบ 2+2 ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวย มีเอกลักษณ์โดดเด่น และชูความเป็นเลิศทางเทคนิคพร้อมแนวคิดใหม่ล่าสุดในแง่สมรรถนะและประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ตามแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างเด่นชัด มอบภาพลักษณ์แนวสปอร์ตที่ยอดเยี่ยมที่สุดพร้อมประสิทธิภาพการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ
การนำเสนอ Concept Car รุ่นนี้สอดคล้องตามกลยุทธ์ “Direzione Cor Tauri” และแผนงานการลดคาร์บอนและเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าซึ่งได้ประกาศไว้เมื่อปี 2021 ของบริษัทซูเปอร์สปอร์ตคาร์สัญชาติอิตาลีแห่งนี้ โดยหลังจากนำเสนอ Revuelto รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 เมื่อไม่นานมานี้
การเปิดพรีวิวรุ่น Lanzador ถือเป็นการเผยข้อมูลของรถยนต์ซีรีส์นี้ซึ่งจะเริ่มต้นผลิตในปี 2028 เป็นต้นไป “แนวทางการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ เสมือนการได้เปิดตัวรถยนต์เซกเมนต์ใหม่นั่นคือ Ultra GT ซึ่งจะมอบประสบการณ์การขับขี่ลัมโบร์กินีรูปแบบใหม่ที่ไร้คู่แข่ง ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เราได้บุกเบิกพัฒนาขึ้น” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าว
คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ผสานสุดยอดสมรรถนะอันเป็นแบบฉบับของรถซูเปอร์สปอร์ต Lamborghini เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานขั้นสุด บวกกับคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน โดย Lanzador จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกใหม่แก่กลุ่มลูกค้าที่ "ชื่นชอบความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี" ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
ซึ่งคอนเซ็ปต์คาร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นนี้จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Gran Turismo ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ตัวถังสวยงามอย่างน่าทึ่ง การออกแบบสัดส่วนรถใหม่ทั้งหมด และประสบการณ์การเดินทางแบบเหนือชั้นที่เพียบพร้อมด้วยระบบ Infotainment ใหม่ล่าสุด ตลอดจนการออกแบบที่สวยงามซึ่งผสานสมรรถนะขั้นสูงระดับอัลตร้าของรถสปอร์ต Revuelto และความสามารถแบบอเนกประสงค์ของรุ่น Urus
“การนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นที่ 4 ทำให้เราเดินหน้าสู่อนาคตโดยที่ยังไม่หลงลืม DNA ของเรา โดยรถคูเป้คันแรกจากลัมโบร์กินีที่มีเครื่องยนต์วางหน้าแบบ Gran Turismos แนวสปอร์ตที่หรูหราสง่างาม และเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันจะเป็นรถยนต์แบบ 2+2 ที่นั่ง ซึ่งแนวคิดการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ได้นำปรัชญารถซูเปอร์สปอร์ตของเรามาผสานกับเทคโนโลยีที่กล้าแกร่งรูปแบบใหม่ ตลอดจนงานดีไซน์ที่เด็ดเดี่ยว ซึ่งสอดรับกับกลยุทธ์ Direzione Cor Tauri ของเราได้อย่างลงตัว” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ อธิบาย
เทคโนโลยีสุดล้ำ – การขับขี่ระบบไฟฟ้า 100% ด้วยการกระจายแรงแบบแปรผัน
Lamborghini นำเสนอ Concept Car ที่ไม่ใช่แค่รถ Gran Turismo แบบดั้งเดิม แต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เหนือล้ำกว่ายนตรกรรมทั้งมวล
มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ติดตั้งกับเพลาแต่ละตัว ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ได้ตลอดเวลาในทุกสภาวะ พื้นผิว และสไตล์การขับขี่ พร้อมให้กำลังไฟสูงสุดมากกว่าหนึ่งเมกะวัตต์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อยังมี active e-torque บนเพลาหลังเพื่อการเข้าโค้งที่เร้าใจแบบไดนามิก ซึ่งปรับแต่งมาอย่างประณีตให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ พลังงานของตัวรถใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่
อย่างไรก็ดี ซอฟต์แวร์และระบบควบคุมด้วยเช่นกัน “Lamborghini พร้อมสร้างนิยามและความแตกต่างแห่งอนาคตให้กับตัวเอง ด้วยกลยุทธ์ระบบควบคุมแบบแอ็กทีฟที่สมบูรณ์แบบ เราได้ยกระดับระบบควบคุมการขับขี่ไดนามิกส์แบบบูรณาการของลัมโบร์กินีสู่มาตรฐานใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในการผลิตรถสปอร์ต เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค อธิบาย “การหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างกำลัง สมรรถนะ ระยะทาง และอากาศพลศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการพัฒนา แต่ความท้าทายก็คือรากฐานสำคัญของศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ลัมโบร์กินีมาโดยตลอด”
พุ่งทะยานเต็มประสาทสัมผัส
นักขับสามารถปรับแต่งระบบทั้งหมดได้ในขณะขับขี่ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัยแบบสปอร์ต จึงควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวของรถได้อย่างฉับไว และสร้างสรรค์คาแรกเตอร์การขับขี่ได้ในแบบเฉพาะตัว
แฟกเตอร์การควบคุมทั้ง 3 ด้านที่มีความสำคัญมากสำหรับ Concept Car รุ่นนี้ รวมถึงรถยนต์ลัมโบร์กินีสมรรถนะสูงในอนาคต ได้แก่
ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่
ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่ Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับลัมโบร์กินีทั้งในคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้และรถยนต์สมรรถนะสูงในอนาคต โดยเซ็นเซอร์และหัวฉีดจำนวนมากจะถูกนำมาผสานเข้ากับ LDVI ในอนาคต เพื่อสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ละเอียดและแม่นยำ รวมถึงนวัตกรรมขั้นสูงที่ไม่ใช่เฉพาะในส่วนฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัลกอริทึมการควบคุมซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการองค์ประกอบต่างๆ ด้วย
ซึ่งเมื่อมีเซ็นเซอร์ป้อนข้อมูลไปยังระบบควบคุมมากขึ้น อัลกอริทึมจะสร้างความแตกต่างในการขับขี่และการตอบสนองได้ละเอียดมากขึ้น สิ่งนี้ช่วยจำแนกลักษณะการขับขี่ของผู้ขับ โดยแสดงผลข้อมูลแก่นักขับผ่านเซ็นเซอร์อัจฉริยะซึ่งอยู่หลังแผงกระจก “นักบิน” รูปแบบใหม่ด้านหน้าของรถ เสมือนเทคโนโลยีเรดาร์นำทางแห่งอนาคตเลยทีเดียว
ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟ
ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในรถยนต์ไฟฟ้าพลังแบตเตอรี่มากกว่าในรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต เพราะจะช่วยเพิ่มระยะทางที่รถวิ่งได้ในการชาร์จไฟแบตเตอรี่แต่ละครั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการขับขี่
โดย Lanzador สามารถปรับค่าแรงกดที่แม่นยำเมื่อรถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงและสร้างแรงต้านอากาศต่ำสุดเมื่อรถทำความเร็วสูงสุดได้อย่างฉับไว โดยปรัชญาแห่งอนาคตของลัมโบร์กินีนั่นคือ “วิสัยทัศน์อากาศพลศาสตร์อัจฉริยะ” จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างชัดเจนในคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้
ระบบอากาศพลศาสตร์อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินีรุ่นต่างๆ โดยได้รวมเอาระบบ ALA (Aerodinamica Lamborghini Attiva) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีในรุ่น Huracán Performante และ Aventador SVJ ร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์พลศาสตร์แบบใหม่ทั้งด้านหน้าและหลังเพื่อสร้างความมั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดของคอนเซ็ปต์คาร์เมื่อวิ่งในโหมด Urban และมอบแรงกดที่ดีที่สุดในโหมด Performance
ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟใช้ม่านอากาศด้านหน้าและสปลิตเตอร์แบบปรับได้ ซึ่งเมื่อเปิดทำงานจะช่วยเปิดท่อระบายความร้อนของเบรกและใบพัดระบายความร้อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเมื่อท่อ S-Duct ทำงานร่วมกับบานเกล็ดด้านในเพื่อการระบายอากาศในซุ้มล้อพร้อมกับม่านอากาศ ก็จะช่วยเพิ่มแรงกดได้มากขึ้น
โดยขึ้นอยู่กับโหมดที่ตั้งค่าไว้ว่าเป็นแบบ Efficient หรือ Downforce และด้วยการใช้ช่องระบายอากาศทำให้สามารถป้องกันแรงดันในซุ้มล้อจากการที่ส่วนหน้าของรถอาจยกตัวขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนบานเกล็ดด้านในยังช่วยสร้างแรงกดโดยไม่เพิ่มแรงฉุด สำหรับการใช้ล้อขนาด 23 นิ้ว นักออกแบบได้ผสานองค์ประกอบหกเหลี่ยมในใบพัดระบายอากาศเพื่อลดการผันผวนของกระแสลมบริเวณล้อ
สำหรับส่วนท้ายของรถ ใบพัดระบายอากาศจะสามารถขยายออกด้านข้างและออกจากส่วนดิฟฟิวเซอร์เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศร่วมกับสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ตั้งไว้ โดยในโหมด Efficient การไหลของอากาศจะปะทะกับตัวรถตลอดความยาวของตัวถังด้านนอก จนกระทั่งกระจายออกด้านหลังตามแนวลมที่กำหนดไว้ และระบบ ALA จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มแรงดันกลับคืนสู่ด้านหลัง จะช่วยลดแรงฉุดและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่
ระบบกันสะเทือนแบบแอ็กทีฟ
โครงแชสซีส์แบบแอ็กทีฟ รวมถึงเพลาหลังแบบปรับได้และระบบถุงลมกันสะเทือน ทำให้ Lanzador สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของตัวเองให้สอดคล้องกับทุกสภาพถนนได้อย่างยอดเยี่ยม หรือทำงานตามรูปแบบที่นักขับตั้งค่าไว้ โดยสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้อย่างฉับไว ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัย
การกระจายแรงบิด
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้าแบบสองมอเตอร์ คือการกระจายแรงบิดที่แม่นยำเพื่อเพิ่มไดนามิกส์การขับขี่ โดยแนวคิดของลัมโบร์กินี ระบบควบคุมจะคอยคำนวณแรงบิดที่จำเป็น หรือที่ต้องการสำหรับเพลาแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็วในหน่วยเวลาเป็นมิลลิวินาที
ระบบควบคุมความเร็วล้อ
ด้วยการใช้ระบบควบคุมความเร็วล้อ ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถควบคุมกำลังและแรงกระทำกับแต่ละล้อได้อย่างละเอียดเพื่อการเลี้ยวเข้าที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการขับทางตรงและการใช้ความเร็วบนถนนที่คดเคี้ยว โดยยังสามารถใช้อัตราเร่งที่เร็วแรงเต็มสปีด
“การทำงานร่วมกันของระบบต่างๆ จะช่วยยกระดับการขับขี่ของคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สู่มาตรฐานใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับรถซูเปอร์สปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม และนี่คือรถยนต์กลุ่ม Ultra GT พลังไฟฟ้าที่ชาญฉลาดในระดับ Super-intelligent” มร.รูเว็น โมห์ กล่าว
ดีไซน์ยานยนต์ที่เหนือล้ำทุกความคาดหมาย
แบรนด์ลัมโบร์กินีคือ DNA แห่งการออกแบบอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง ผ่านการนำเส้นสายสุดไอคอนิกมาตีความเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางล้ำหน้าสู่อนาคต
การเปิดตัว Lanzador จึงแสดงให้เห็นว่าให้ลัมโบร์กินีกำลังเดินหน้าสู่อนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ได้มอบสัดส่วนใหม่และยังเป็นตัวแทนของรถยนต์กลุ่มใหม่ของแบรนด์นั่นคือ Ultra GT
การออกแบบคอนเซ็ปต์คาร์ GT นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน โดย มร.มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบของ Centro Stile ซึ่งทำงานให้กับลัมโบร์กินี อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบว่ามาจากรถซูเปอร์สปอร์ต หากต่อยอดไปสู่การวางตำแหน่งของนักขับอย่างเหมาะสม โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Huracan Sterrato
การออกแบบภายนอกบึกบึนห้าวหาญ และเหนือล้ำทุกความคาดหมาย ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายและสะอาดตา และยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นตำนานอย่าง Sesto Elemento, Murciélago และ Countach LPI 800-4 รูปลักษณ์ด้านข้างใช้เส้นสายที่เรียบง่าย ผสานกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ
โดยมีการออกแบบความลาดเอียงของห้องโดยสารอย่างชัดเจนจากทั้งด้านหน้า-หลัง ในขณะเดียวกัน ดีไซน์ส่วนล่างของตัวรถยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันชาญฉลาด โดยผสานเข้ากับองค์ประกอบสุดล้ำที่ขยับได้ดังเช่นที่พบในรถซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีหลายรุ่น และด้วยความสูงสุดของหลังคาเพียง 1.5 เมตร ทำให้รถยนต์ Grand Turismo พลังไฟฟ้ารุ่นนี้โหลดต่ำเข้าใกล้พื้นถนนได้อย่างทรงพลัง มอบความประทับใจด้วยระดับการโหลดต่ำอย่างที่ไม่มีรุ่นใดเปรียบได้ ซึ่งเกิดจากรูปทรงที่พุ่งไปข้างหน้าของห้องโดยสารและเส้นสายไดนามิกที่คมชัดตลอดทั้งตัวรถ
คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ทำสีด้วย Liquid color ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการเปิดตัวรถยนต์ในงาน Monterey Car Week ซึ่งเป็นสีใหม่ที่สวยงามทันสมัยในชื่อ Azzurro Abissale
ดีไซน์ห้องโดยสารสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ “Feel like a pilot’” ของลัมโบร์กินีอย่างโดดเด่น ผสานกับแนวคิดของอากาศยานผ่านแนวคิดรถยนต์ 2+2 GT แต่ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการใช้แนวคิดที่นั่ง 2+2 ในแบบฉบับไลฟ์สไตล์ ห้องโดยสารส่วนหลังยังสามารถใช้บรรทุกสัมภาระได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬาหรือกระเป๋าเดินทางทุกรูปแบบ
รถยนต์รุ่นนี้ยังไม่เปิดจำหน่ายในปัจจุบัน จึงไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ Directive 1999/94/EC โดยอัตราการใช้พลังงานและการปล่อยไอเสียกำลังอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติ
อัตราการใช้พลังงานและการปล่อยไอเสียของรุ่น Urus ทั้งหมด: Fuel consumption combined: 14,1-12,7 l/100km (WLTP); CO₂-emissions combined: 325-320 g/km (WLTP)
ช่องใส่สัมภาระถูกซ่อนไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าที่สั้นและลาดเอียง ส่วนประตูท้ายกระจกขนาดใหญ่สามารถเปิดออกกว้าง เบาะนั่งด้านหลังและช่องเก็บสัมภาระหลังที่ปรับได้
การออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัว อาทิ ดีไซน์ไฟหน้าเพรียวบางได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Countach LPI 800-4 ไฟท้ายทรงหกเหลี่ยมรวมถึงรูปแบบแสงตกแต่งด้วยไฟ LED สามดวงบนตัวรถแต่ละด้าน นอกจากนี้ ดีไซน์ไฟรูปตัว Y และองค์ประกอบรูปหกเหลี่ยมพบเห็นได้ทั่วทั้งตัวรถ รวมถึงไฟท้ายและห้องโดยสารภายในเช่นกัน
ตำแหน่งนักขับในห้องโดยสารแผงหน้าปัดเพรียวบางน้ำหนักเบา ซึ่งการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น รูปตัว Y ขนาดใหญ่ในส่วนเชื่อมคอนโซลกลาง ที่นั่งคนขับและข้างคนขับจะอยู่ระดับต่ำเหมือนในเครื่องบินเจ็ต คั่นด้วยคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อมุมมองกับแผงหน้าปัด
ส่วนแผงควบคุมระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และฟังก์ชันดิจิทัลรุ่นใหม่ จะติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลางในระยะที่คนขับเอื้อมถึงตามตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์ ส่วนผู้โดยสารจะสามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอที่หดซ่อนได้อัตโนมัติ และเมื่อใช้ระบบการควบคุมแบบ Lamborghini ANIMA คนขับจะสามารถสลับโหมดการขับขี่แบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงแบบ Efficiency และ Performance เพื่อให้ได้ไดนามิกส์การขับขี่ที่ดีที่สุดตามต้องการ
แนวคิดวัสดุที่ยั่งยืน
สำหรับคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ นักออกแบบได้ถ่ายทอดปรัชญาในด้านวัสดุที่ยั่งยืนไปสู่การตกแต่งห้องโดยสารภายใน โดยเป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่โดยยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์ สัมผัส คุณภาพและความทนทาน
งานตกแต่งภายในใช้วัสดุที่ยั่งยืนซึ่งผลิตในอิตาลีเกือบทั้งหมด บริเวณแผงหน้าปัด เบาะนั่ง และแผงประตู ได้รับการตกแต่งด้วยผ้าขนแกะเมอริโนคุณภาพสูง (จากบริษัทสัญชาติอิตาลีที่ผ่านมาตรฐาน B Certified) ส่วนด้ายย้อมสีทำจากวัสดุรีไซเคิล ทั้งไนลอน/พลาสติกรีไซเคิล รวมถึงวัสดุที่ไม่ใช่พลาสติกอีกหลายชนิด เช่น โฟมในส่วนเบาะนั่งแนวสปอร์ตทำจากเส้นใยรีไซเคิลซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีการพิมพ์ 3 มิติ แม้แต่เส้นใยคาร์บอนที่นำมาใช้ร่วมกันในหลายส่วน เช่นคอนโซลกลางและแผงประตู ก็ทำมาจากคาร์บอนแบบผลิตซ้ำซึ่งเป็นวัสดุคอมโพสิตสองชั้นแบบใหม่
วัสดุหนังฟอกที่ยั่งยืน
วัสดุหนังที่ยั่งยืนคือหนังที่ผ่านการฟอกด้วยน้ำพิเศษซึ่งผ่านกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ โดยเป็นน้ำจากการผลิตน้ำมันมะกอกและต้องบำบัดในโรงบำบัดน้ำมาก่อน เนื่องจากมีความเป็นกรดสูง มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ และเป็นพิษต่อพืช อย่างไรก็ดี น้ำที่เหลือจากการผลิตน้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาใช้ซ้ำได้โดยผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อการผลิตสารฟอกหนัง ซึ่งกระบวนการฟอกหนังยังมีรูปแบบการทำงาน “ในแบบฉบับอิตาลี” เหมือนกับการผลิตน้ำมันมะกอกของอิตาลี
วัสดุผ้าขนแกะเมอริโน 100%
ลัมโบร์กินีใช้ขนแกะที่ได้จากแกะออสเตรเลียนเมอริโนแทนขนแกะสังเคราะห์ โดยในทุกๆ ปี แกะจะงอกขนขึ้นใหม่ ทำให้ขนแกะเป็นเส้นใยที่สร้างใหม่ได้ทั้งหมด แตกต่างจากผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตในเชิงอุตสาหกรรมจากพลังงานฟอสซิลที่ไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยขนแกะจะนำเข้ายุโรปปีละครั้งขนส่งผ่านทางเรือ สิ่งทอนี้ผลิตโดยบริษัทสิ่งทออิตาลีเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองระดับ B-Corporation ผ้าขนแกะเมอริโนยังสามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ นุ่มนวลและสัมผัสนุ่มสบาย
คาร์บอนผลิตซ้ำผ่านกระบวนการรีไซเคิล
เส้นใยคาร์บอนที่ผลิตซ้ำเป็นวิธีการใหม่สำหรับวัสดุคอมโพสิตที่พัฒนาโดยลัมโบร์กินี จะกำหนดเป็นชั้นที่โชว์ความสวยงาม (ด้านที่มองเห็น) และชั้นใน (ชั้นโครงสร้าง) ตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทั้งชั้นโชว์ความสวยงามและชั้นโครงสร้างจะถูกผสานรวมกับเรซินชีวภาพ
เส้นใยสังเคราะห์จากพลาสติกรีไซเคิล
ลัมโบร์กินี ใช้เส้นด้ายสังเคราะห์ชนิดใหม่ในหลายองค์ประกอบของ Concept Car รุ่นนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลที่เก็บรวบรวมมาจากมหาสมุทร โดยนำมาฉีกเป็นฝอยละเอียด ล้าง ตากแห้ง บีบอัดด้วยแรงดันสูง และแปรรูปเป็นเส้นใยไนลอนบางๆ ในที่สุด เส้นด้ายเหล่านี้จะถูกรวมเป็นม้วนไนลอนขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกภายหลัง
วัสดุโฟมจากกระบวนการพิมพ์ 3 มิติ
สิ่งสำคัญในการผลิตอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์ทรัพยากร ต้องอาศัยกระบวนการพิมพ์ 3 มิติแบบใหม่สำหรับชิ้นส่วนพลาสติก เช่น วัสดุโฟมในเบาะนั่งแนวสปอร์ต โดยวัสดุการพิมพ์แบบใหม่สำหรับกระบวนการ FDM (Fused Deposition Modelling) จะทำมาจากขยะรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติกใช้แล้ว เป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้งหลังหมดอายุการใช้งาน โดยสัดส่วนของวัสดุที่นำกลับมารีไซเคิลได้จะอยู่ระหว่าง 45-100% ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของขยะ
Lamborghini วางแผนที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2024 โดยบริษัททุ่มงบลงทุนกว่า 1.9 พันล้านยูโรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์อิตาลี
โดยแนวคิดรถยนต์รุ่นที่ 4 ไม่ใช่แค่เครื่องสาธิตทางเทคนิคเท่านั้น แต่เป็น “ห้องปฏิบัติการติดล้อ” ที่ได้รับการปรับปรุงในแง่ของวัสดุที่ยั่งยืนอีกด้วย Concept Car เวอร์ชั่นผลิตจริงจะพร้อมมอบสุดยอดสมรรถนะตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป และจะก้าวสู่ระดับแถวหน้าของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ของแบรนด์อย่างสมบูรณ์ และพร้อมยกระดับการผลิตของ Lamborghini ที่สืบทอดมานานกว่า 60 ปี ไปสู่ทศวรรษใหม่
Lamborgini Lanzador จะดำเนินการผลิตในโรงงาน Sant’Agata Bolognese และเพื่อการผลิตที่สมบูรณ์แบบ ลัมโบร์กินีกำลังวางแผนขยายโรงงานและจ้างพนักงานเพิ่มเติมต่อไป