Ford Mustang Fastback (ฟอร์ด มัสแตง ฟาสต์แบค) รุ่นปี 1967-1968 จัดเป็นรถอเมริกันระดับตำนานอีกหนึ่งรุ่นที่คนเล่นรถอเมริกันต่างรู้จักกันดี โดยสำนัก Velocity Modern Classics จากรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการดัดแปลงรถยนต์เพิ่งเปิดตัวรถอเมริกันคลาสสิครุ่นใหม่ล่าสุด Ford Mustang Fastback คันนี้
ซึ่งแตกต่างไปจากรถคันอื่นๆ ที่เคยเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะสำนักนี้ไม่ได้ทำลายอัตลักษณ์ดั้งเดิม แต่ปรับปรุงส่วนประกอบสำคัญอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้รู้สึกเหมือนได้รถใหม่อีกครั้ง
Velocity Mustang Fastback ได้รับการสร้างสรรค์โดย Velocity Modern Classics โดยขั้นตอนการสร้างรถนั้น ทางบริษัทได้แยกชิ้นส่วนเดิมของรถออกทั้งหมด และติดตั้งลงบนแชสซีส์ Mustang SPEC ที่สร้างโดย Roadster Shop ซึ่งแชสซีส์ใหม่นี้ประกอบด้วย พวงมาลัยเพาเวอร์แบบแร็คแอนด์พีเนียน บาร์กันโคลงด้านหน้า และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ เพื่อให้เหมาะกับโลกสมัยใหม่มากขึ้น
รูปลักษณ์ภายนอกของ Velocity Mustang Fastback มาในสีน้ำเงิน Glasurit ของ BASF ฝากระโปรงหน้าแบบมีช่องระบายอากาศ และตกแต่งด้วยโครเมียมในส่วนต่างๆ พร้อมชุดไฟหน้าแบบ LED และไฟท้าย LED แบบใหม่
พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว กับยางขนาด 255/45 ZR17 ของ Continental Extreme Contact Sport 02 ส่วนระบบช่วงล่างหลังเป็นแบบ 4 จุดยึด และคอยล์โอเวอร์จาก Fox ทั้งด้านหน้า-หลัง ทั้งยังมีเพลาหลังขนาด 9 นิ้ว ที่มีอัตราทดเกียร์ 3.73
เครื่องยนต์เดิมได้ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ V8 Coyote ขนาด 5.0 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศของ Ford ที่ให้กำลังสูงสุด 460 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 569 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ของ T-56 ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า
ขณะที่ประสิทธิภาพการเบรกมาจากคาลิปเปอร์เบรก 4 ลูกสูบของ Baer จานเบรกขนาด 11 นิ้ว และท่อไอเสียจาก Borla
ห้องโดยสารภายในของ Velocity Mustang Fastback ได้ห่างไกลจากตัวตนดั้งเดิม ด้วยเบาะนั่งด้านหน้าแบบ Bucket Seat แบบใหม่ ขณะที่เบาะนั่งแบบม้านั่งแบบใหม่ก็ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหลัง นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยวัสดุบุหลังคาแบบ Alcantara พรมขึ้นรูป ระบบลดเสียง Dynamat ระบบปรับอากาศแบบวินเทจ และลำโพง Focal และซับวูฟเฟอร์ใหม่
ในเวลานี้ Velocity Modern Classics ได้สร้าง Ford Mustang Fastback ขึ้นมาเพียงคันเดียวเท่านั้น แต่ก็เปิดรับจองรถรุ่นใหม่และจะพร้อมส่งมอบในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 นี้