Mazda USA (มาสด้า) ได้ประกาศยุติการขายรถยนต์ไฟฟ้า Mazda MX-30 (มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-30) ซึ่งเป็นรถ EV รุ่นแรกของค่ายแล้ว หลังจากเปิดตัวแค่เพียง 2 ปีในสหรัฐฯ โดยเหลือไว้ขายแค่ในรัฐแคลิฟอร์เนียจำนวนจำกัดเท่านั้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ย่ำแย่กว่าที่คาดหวังไว้
โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Mazda USA สามารถขาย Mazda MX-30 ไปได้แค่เพียง 16 คัน โดยยอดขายสะสมนับตั้งแต่ต้นปี 2023 เพียง 66 คัน เทียบกับปี 2022 ที่มียอดขายรวมกันทั้งปีเพียง 324 คันเท่านั้น และในปี 2021 ที่ขายได้เพียง 181 คัน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Mazda MX-30 ของค่ายมาสด้าไม่ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวสหรัฐฯ นั่นเป็นเพราะแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางวิ่งแค่เพียง 100 ไมล์ หรือ 160 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในตลาด
แม้ว่า Mazda USA จะทำให้ลูกค้ามั่นใจมากขึ้นด้วยบริการ MX-30 Elite Acces Loaner Program ที่ลูกค้าสามารถยืมรถยนต์มาสด้าเครื่องยนต์สันดาปไปใช้งานได้เป็นระยะเวลาสูงสุด 10 วันต่อปี แล้วก็ตาม
โดย Mazda MX-30 ที่ขายในสหรัฐอเมริกา มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 271 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังบนระบบขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion ความจุ 35.5 kWh ที่รองรับการชาร์จด่วนถึง 80% ในเวลา 36 นาที
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Mazda MX-30 จะไม่ได้กลับมาขายใน USA เสียทีเดียว เพราะ Jeff Guyton CEO ของ Mazda North America เคยกล่าวกับ Automotive News ในเดือนกุมภาพันธ์ว่า Mazda MX-30 เวอร์ชั่น e-SKYACTIV R-EV รุ่น Plug-in Hybrid ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Rotary ขนาด 830 ซีซี 75 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ให้กำลังสูงสุดถึง 166 แรงม้า อาจมีโอกาสมาขายใน USA เร็วๆ นี้
สำหรับ Mazda MX-30 คงเหลือจำหน่ายเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น มีราคาเริ่มต้นที่ 34,110 - 37,120 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1,168,000 - 1,270,000 บาท
