Automobili Pininfarina (ออโตโมบิลี ปินินฟารินา) ยกย่องความสำเร็จของตำนานนักแข่ง Formula 1 (ฟอร์มูลาวัน) ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Hyper GT รุ่นใหม่ Battista Edizione Nino Farina (แบตติสตา เอดิซิโอเน นิโน่ ฟารินา)
Battista Edizione Nino Farina จะเปิดให้ยลโฉมครั้งแรกในงาน Goodwood Festival of Speed พร้อมร่วมทดสอบโดย Nick Heidfeld (นิค ไฮด์เฟลด์) นักแข่งระดับตำนานและอดีตแชมป์แข่งรถทางลาดรายการกู๊ดวูด
ทั้งนี้ นิค หรือที่รู้จักในฉายา 'ควิก นิค' (Quick Nick) มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาของ Automobili Pininfarina และเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของ Battista จนถึงในปัจจุบัน
ภายหลังจากความสำเร็จของรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดก่อนหน้าอย่าง Battista Anniversario โมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง Battista Edizione Nino Farina ได้นำเสนอเรื่องราวน่าประทับใจของตำนานนักแข่งรถฟอร์มูลาวันอย่าง Nino Farina (นิโน่ ฟารินา) แชมป์ F1 คนแรกของโลก
และหลานชายของสุดยอดนักออกแบบอย่าง Battista 'Pinin' Farina (แบตติสตา 'ปินิน' ฟารินา) โดยจะเปิดตัวใกล้กับสนามแข่ง Goodwood Circuit (ก๊ดวูด เซอร์กิต) ซึ่งเป็นสนามแข่งที่นิโน่คว้าชัยชนะในปี 2494 ในรายการ Goodwood Trophy (ก๊ดวูด โทรฟี) (นอกเหนือจากรายการชิงแชมป์ฟอร์มูลาวัน)
Battista Edizione Nino Farina ผลิตเพียง 5 คันทั่วโลก มาพร้อมการออกแบบภายนอก-ภายในที่ยกย่องตำนานนักแข่งจากเมืองโตริโนอย่าง นิโน่ ฟารินา โดยจะเล่าถึง 1 ใน 5 ช่วงเวลาสำคัญของนิโน่ ทำให้มั่นใจได้ว่านักสะสมจะได้เป็นเจ้าของผลงานการออกแบบชิ้นเอกของอิตาลีที่ไม่ซ้ำใคร
แบตติสตา 'ปินิน' ฟารินา เป็นผู้ก่อตั้ง Carrozzeria Pininfarina (คาร์รอซเซอเรีย ปินินฟารินา) ที่โด่งดัง ชื่อของเขานำมาใช้เป็นชื่อของรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตโดย Automobili Pininfarina อย่างแบตติสตา เพื่อยกย่องความฝันของเขาในการสร้างรถแบรนด์ปินินฟารินา
ในฐานะลุงของนิโน ฟารินา เขาเป็นผู้จุดประกายความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ตของหลานชายผู้กลายเป็นแชมป์โลกในอีกไม่กี่ปีให้หลัง แบตติสตาเคยพาหลานชายวัย 16 ปีเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในฐานะผู้โดยสาร สิ่งนี้สร้างความกระหายในการแข่งขันให้กับนิโน่ ส่งผลให้นิโน่ได้เข้าร่วมการแข่งขันและชิงแชมป์รายการต่างๆ มากมายทั่วอิตาลีในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930
ในปี 2493 นิโน่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ครั้งแรกที่จัดอย่างเป็นทางการโดย FIA โดยเป็นผู้นำทีมแข่งรถจำนวนสามคัน ในปีแรกของการแข่งชิงแชมป์โลก นิโน่ ฟารินา สามารถเอาชนะการแข่งขันในอังกฤษ (ครั้งแรกที่จัดขึ้นที่ซิลเวอร์สโตน) สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี ทำให้คว้าตำแหน่งแชมป์โลกไว้ได้
การออกแบบที่ไม่ซ้ำใครผสานเข้ากับนวัตกรรมเทคโนโลยี รายละเอียดสุดประณีตของปินินฟารินาในอดีต และการตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจจากมรดกแห่งตระกูล
ตัวถังรถมาในสี Rosso Nino เป็นตัวแทนความทรงจำกับสีแดงของรถแข่งในอิตาลีที่ทำให้เขาได้ชัยชนะยิ่งใหญ่ ขณะที่การตกแต่งและการออกแบบหลักผสานเข้ากับดีไซน์ไม่ซ้ำใคร และตัวถังด้านล่างที่มาในสี Bianco Sestriere และสี Iconica Blu
ยังครอบคลุมแถบหมุดสั่งทำพิเศษบนกระจกมองข้างและด้านล่างของปีกหลัง มาพร้อมกราฟิกพิเศษรูปพวงมาลัยสวมศีรษะและหมายเลข '01' ในสี Bianco Sestriere บริเวณแผงด้านของหลังประตู
ตัวโครงภายนอกยังประกอบด้วย Furiosa Pack ครอบคลุมสปลิตเตอร์หน้าคาร์บอนไฟเบอร์โฉมใหม่ กาบข้าง และดิฟฟิวเซอร์หลัง ตกแต่งด้วยแถบหมุดสี Bianco Sestriere ขณะที่ Carbon Accent Pack ตกแต่งด้วยสีดำคาร์บอน
ตัวหลังคา Goccia สีเข้มมาพร้อม Jewelly Pack เคลือบอะลูมิเนียมขัดเงาชุบผิวสีดำ ควบคู่กับคาลิปเปอร์เบรกสีดำและวงแหวนล็อคตรงกลางที่เคลือบด้วยอะลูมิเนียมขัดเงาชุบผิวสีดำ และตัวล้ออัลลอย Glorioso อะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปแบบ 10 ก้านผิวเคลือบสี Satin Gold
นอกจากนี้ยังมีรอยสลักชื่อนิโน่ ฟารินา บนชุดไฟหน้าที่เคลือบอะลูมิเนียมขัดเงาชุบผิวสีดำ ขณะที่ปีกข้างคาร์บอนด้านคนขับได้รับการเสริมด้วยลายเซ็นกราฟิกของนิโน่ ฟาริน่า เช่นกัน
การตกแต่งภายในมาในธีมทูโทนแบบพิเศษ โดยเบาะนั่งคนขับนั้นบุด้วยหนังสีดำ ขณะที่เบาะนั่งผู้โดยสารบุด้วยหนังสีเบจและสีดำอัลคันทารา
ตัวเบาะนั่ง Pilota ดีไซน์ไม่ซ้ำใครระหว่างคนขับและผู้โดยสารมีการปักชื่อของ นิโน่ ฟาริโน บริเวณพนักพิงหลัง ที่นั่งคนขับสีดำมีปักรูปพวงมาลัยสวมศีรษะและตัวเลขกราฟิก '01' สีทอง ในขณะที่โลโก้ปินินฟารินาตกแต่งด้วยสีแดงบนเบาะผู้โดยสารสีเบจ ด้านหลังของเบาะนั่งทั้ง 2 ข้างทาสีรอซโซ่ นิโน่ ที่เข้ากับตัวรถภายนอก
เช่นเดียวกับส่วนนอกของรถ ตัวเบาะที่นั่งมาพร้อมเข็มขัดนิรภัยสีไอโกนิกา บลู พร้อมตะเข็บดูโอโทนสีเบจสลับแดงบริเวณหน้าปัดและที่นั่ง ส่วนพวงมาลัยหุ้มด้วยวัสดุสีดำ Alcantara แบบคาร์บอน พร้อมวงแหวน 12 นาฬิกาอะลูมิเนียมขัดเงาชุบสีแดง ยังครอบคลุมแผ่นพวงมาลัย ทำจากอะลูมิเนียมขัดเงาชุบผิวสีดำพร้อมลายเซ็นนิโน่ ฟารินา นอกจากนี้ยังมีจิวรีแพ็กอะลูมิเนียมขัดเงาชุบผิวสีดำอีกด้วย
ห้องโดยสารยังประกอบด้วยโครงสีดำ ที่สื่อถึงความเป็นนิโน่ ฟารินา ขณะที่แผ่นประตูผู้โดยสารในแต่ละคันนั้นจะแตกต่างกันออกไป
ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังล้ำสมัย มอบสมรรถนะสูงสุด รถไฮเปอร์จีทีไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของโลกนี้ใช้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนความจุ 120 kWh ที่บรรจุอยู่ภายในกล่องคาร์บอนไฟเบอร์แข็งแรงน้ำหนักเบา
มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ทำงานแยกกันสี่ตัวสำหรับแต่ละล้อ รวมกำลังสูงสุด 1,900 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 2,340 นิวตัน-เมตร ผสานกับเทคโนโลยีควบคุมแรงบิด (Full Torque Vectoring) ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Stability Control) และระบบซอฟต์แวร์ชุดเฟืองท้าย
ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับแต่งการส่งกำลังและควบคุมการตอบสนองได้อย่างที่ ในขณะที่ชุดแบตเตอรี่รูปตัว T แบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ก็ติดตั้งอยู่หลังเบาะเพื่อให้แน่ใจว่าตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ
เทคโนโลยีการควบคุมการออกตัวที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้รถฟอร์มูลาวันมีอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์/ชม. ใน 1.79 วินาที, 0-100 กม./ชม. ใน 1.86 วินาที, 0-120 ไมล์/ชม. ใน 4.49 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 4.75 วินาที นอกจากนี้ การทดสอบอย่างเป็นทางการยังพิสูจน์แล้วว่า แบตติสตาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่เบรกได้เร็วที่สุดในโลก โดยสามารถลดความเร็วจาก 100-0 กม./ชม. ได้ในระยะทางเพียง 31 ม.
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบออลวีล และโหมดการขับขี่ 5 โหมดพร้อมรองรับทุกการขับขี่ ได้แก่ คาลมา (Calma), พูรา (Pura), เอเนอร์จิกา (Energica), ฟูริโอซา (Furiosa) และคารัตเตเร (Carattere)
ให้ระยะการขับขี่สูงสุด 476 กม. (296 ไมล์ ตามมาตรฐาน WLTP) และ 300 ไมล์ ตามเกณฑ์ US EPA