Tesla เผชิญแรงกดดันหนัก รายได้ไตรมาสแรกปี 2025 กำไรดิ่ง 71%
Tesla เผชิญแรงกดดันหนัก รายได้ไตรมาสแรกปี 2025 กำไรดิ่ง 71%

Tesla เผชิญแรงกดดันหนัก รายได้ไตรมาสแรกปี 2025 กำไรดิ่ง 71%

Tesla เผยผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 พบว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งในด้านรายได้และกำไร โดยรายได้จากธุรกิจยานยนต์ร่วงแรงถึง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความท้าทายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และผลกระทบจากนโยบายการค้าในยุครัฐบาลทรัมป์

โดยรายได้รวมของบริษัทลดลงจาก 21,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 19,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลง 9% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้จากธุรกิจยานยนต์ลดลงแรงถึง 20% มาอยู่ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Tesla ระบุว่าเกิดจากการปรับไลน์การผลิตในโรงงานทั้ง 4 แห่งเพื่อเตรียมผลิตรุ่นใหม่ของ Model Y รวมถึงราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง จนส่งผลถึงตัวเลขกำไร

ในด้านของกำไรสุทธิของ Tesla ทรุดลงจาก 1,390 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน เหลือเพียง 409 ล้านดอลลาร์ หรือ 12 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งกำไรสุทธินี้ร่วงลงกว่า 71% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 66% มาอยู่ที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ Operating Margin เหลือเพียง 2.1% โดยบริษัทระบุว่า ต้นทุนจากโครงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันกำไร

อย่างไรก็ตาม Tesla ไม่รับปากเรื่องการเติบโตในปีนี้ พร้อมระบุว่า “จะทบทวนแนวโน้มปี 2025 อีกครั้งในการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2”

Elon Musk จะกลับไปบริหาร Tesla เดือนหน้า
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ประกาศว่าจะลดบทบาทจากการทำงานกับรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อกลับมาโฟกัสกับการบริหาร Tesla อย่างเต็มที่ ซึ่งถือเป็นข่าวดีของนักลงทุนที่กังวลมานานว่าการที่ Musk ทุ่มเวลากับภารกิจในวอชิงตัน อาจทำให้ละเลยธุรกิจหลัก

Musk เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า เขาจะเริ่มทุ่มเทเวลามากขึ้นอย่างชัดเจนให้กับ Tesla ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป โดยระบุว่า ภารกิจในฐานะหัวหน้ากระทรวงปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency) กำลังจะเสร็จสิ้นในเร็ว ๆ นี้

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างกดดันให้ Musk กลับมาให้ความสำคัญกับ Tesla มากขึ้น หลังบริษัทเผชิญยอดขายที่ชะลอตัว และต้นทุนที่พุ่งสูงจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ขณะเดียวกัน ก็เกิดกระแสต่อต้านในหมู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ที่ไม่พอใจบทบาทของ Musk ในงานรัฐบาล ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากธุรกิจหลักของเขาเอง

หุ้นร่วง 41% แล้วในปีนี้
หุ้นของ Tesla ดิ่งลงมาแล้วกว่า 41% ในปี 2025 และในไตรมาสแรกถือเป็นช่วงที่หุ้นตกหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 โดยราคาหุ้นขยับขึ้นเล็กน้อยในช่วงซื้อขายหลังตลาดปิด ก่อนจะดีดกลับราว 5% เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าไม่มีแผนปลดประธาน Fed อย่างเจอโรม พาวเวลล์ออก

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสงครามการค้าที่ฉุดทั้งซัพพลายเชน โดย Tesla ได้ออกมาเตือนนักลงทุนในเอกสารผู้ถือหุ้นว่า “ความไม่แน่นอนในตลาดยานยนต์และพลังงานกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและต้นทุนของ Tesla รวมถึงบริษัทอื่น ๆ” พร้อมระบุอีกว่า จากบรรยากาศการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป อาจกระทบต่อความต้องการสินค้าในระยะสั้นอีกด้วย

โดย Tesla รายงานยอดส่งมอบรถไตรมาสแรกปีนี้ที่ 336,681 คัน ลดลง 13% จากปีก่อน ทั้งนี้ Tesla ต้องเผชิญกับแรงต้านจากการประท้วงในสหรัฐฯ และยุโรป หลัง Elon Musk ซีอีโอของ Tesla แสดงการสนับสนุนพรรคขวาจัด อย่าง AfD ของเยอรมนี ขณะเดียวกัน บริษัทยังเสียเปรียบคู่แข่งจากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่า และตามหลังในตลาด Robotaxi ซึ่งปัจจุบันถูกครองโดย Waymo ของ Alphabet

และแม้ว่าจะเจอแรงกระแทกจากหลายด้าน Tesla ยังยืนยันว่า จะเปิดตัวบริการ Robotaxi แบบไร้คนขับครั้งแรกในออสติน เท็กซัส เดือนมิถุนายนนี้ และเตรียมเริ่มการผลิตหุ่นยนต์ “Humanoid” แบบไลน์นำร่องที่โรงงานใน Fremont, California ภายในปีนี้

ในด้านของรายได้จากธุรกิจพลังงานและระบบกักเก็บไฟฟ้ากลับยังโตแรง เพิ่มขึ้น 67% แตะระดับ 2,730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนรายได้จากเครดิตสิ่งแวดล้อม (Environmental Regulatory Credits) เพิ่มขึ้นจาก 432 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 595 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Tesla ยังเตือนอีกว่า การพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างประเทศในธุรกิจพลังงาน อาจได้รับผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ตลาดผันผวน และส่งผลกระทบต่ออุปสงค์-อุปทานในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกับนักวิเคราะห์ Elon Musk ระบุว่า Tesla เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากภาษีน้อยที่สุด แต่เจ้าตัวยังสนับสนุนโครงสร้างภาษีที่มีความแน่นอน และการค้าเสรีที่มีภาษีต่ำ มากกว่าการปรับเปลี่ยนภาษีอย่างไม่คาดคิดในปัจจุบัน

ที่มา: CNBC, Bloomberg

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง