Ford (ฟอร์ด), GM (เจนเนอรัล มอเตอร์ส) และ Toyota (โตโยต้า) กำลังมองหาประโยชน์จากกลุ่มรถกระบะขนาดกลางใน Line-Up ที่กำลังเติบโตมากขึ้น เนื่องจากรถปิคอัพขนาดกลาง ได้พัฒนามาจากรถบรรทุกเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่า และให้ผลกำไรต่อบริษัทสูง โดยตัวรถมีราคาสูงกว่า 60,000 ดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับรถระดับหรูจาก BMW, Cadillac และอื่นๆ
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ค่ายรถยนต์เริ่มหันมาโฟกัสตลาดดังกล่าวมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ Toyota ที่เปิดตัว Toyota Tacoma รถกระบะขนาดกลาง เจเนอเรชั่นที่ 4 ในสหรัฐอเมริกา มีให้เลือกทั้งแบบ Xtra Cab และ 4 ประตู Double Cab พร้อมกับรุ่นพลังแรงอย่าง TRD Pro ที่มาในเครื่องยนต์ i-Force MAX พลังไฮบริด เตรียมจำหน่ายปลายปีนี้ และ Ford ที่เปิดตัว Ford Ranger 2024 ซึ่งเริ่มผลิตในสหรัฐอเมริกาไปไม่นาน
Jessica Caldwell (เจสสิก้า คาลด์เวลล์) ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายข้อมูลเชิงลึกของบริษัทวิจัยรถยนต์ Edmunds กล่าวว่า "มันไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนที่มีงบประมาณจำกัด เพราะฉันคิดว่าลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า" “รถกระบะเริ่มนิยมขึ้นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากขึ้น คุณลักษณะการใช้งานที่มากขึ้น และเน้นการออกแบบที่สวยขึ้น”
โดยตลาดในกลุ่มรถกระบะขนาดกลางของสหรัฐฯ กำลังตามหลังรถกระบะขนาดใหญ่ เช่น Ford F-150, Chevrolet Silverado และ Toyota Tundra เนื่องจากตัวรถมีขนาดใหญ่ขึ้น มีราคาสูงขึ้น มาพร้อมความหรูหราใหม่ๆ และยังคงรูปแบบรถกระบะออฟโรด ที่สามารถใช้งานได้ หรือขับเข้าป่าฝ่าดงได้ในชนบท
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ขนาดกลางสูงถึง 600,000 คันตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากรถซีดานแบบดั้งเดิมไปสู่รถยนต์อเนกประสงค์ เช่น Crossover, SUV และรถกระบะ
โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยอดขายรถกระบะขนาดกลางเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จนคิดเป็น 4.4% ของยอดขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ด้าน S&P Global Mobility คาดการณ์ว่ายอดขายรถกระบะขนาดกลางจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในสหรัฐฯ ที่ 4.6% ในปี 2026
ราคาเฉลี่ยที่จ่ายสำหรับยานพาหนะหนึ่งคันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 53% จากประมาณ 28,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นมากกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ Edmunds รายงานว่าการเติบโตของราคานั้นแข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม 3%
นอกจากนี้ยังมีรถกระบะจาก Chevrolet, GMC, Honda, Jeep และ Nissan เข้ามาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภค ซึ่งทำให้ตลาดมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง
ถึงกระนั้นราคาเฉลี่ยต่อคันที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยจากราคาประมาณ 28,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 964,000 บาท อาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,447,000 บาท
แหล่งที่มาจาก
- CNBC