MINI Aceman SE 2025 ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าใหม่ วิ่งไกล 405 กม.
MINI Aceman SE 2025 ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าใหม่ วิ่งไกล 405 กม.

สิ้นสุดการรอคอยเสียทีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของทางค่าย MINI จากเกาะอังกฤษ หลังจากที่ล่าสุดได้เผยโฉมเต็มของ MINI Aceman ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าใหม่ออกมาแล้ว โดยรถยนต์ไฟฟ้าตัวใหม่นี้ ชูจุดเด่นจะเป็นรถขนาดเล็กที่วิางได้ไกลมากถึง 406 กม. โดยจะเปิดตัวให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสตัวจริงกันที่ในงาน Beijing Auto Show 2024 ก่อนที่จะเริ่มวางขายในช่วงปลายปีนี้ 

มีขนาดตัวรถอยู่ระหว่าง MINI Hatch และ MINI Countryman มาพร้อมกับมิติตัวรถความยาวอยู๋ที่ 4,075 มม. ความกว้าง 1,754 มม. ความสูง 1,495 มม. และมีระยะะยะฐานล้อ 2,606 มม. ในด้านงานออกแบบได้ผสมผสานความดีงามของ ทั้งตัว Cooper เข้ากับ Countryman ได้อย่างลงตัว ด้านหน้ามากับกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ ข้างในคาดด้วยแถบสีเดียวที่ด้านบน เติมความแกร่งด้วยกันชนหน้าสีดำ มาพร้อมช่องรับลมตรงกลาง โดยมีแผ่นกันรองกระแทกสีเงินอยู่ด้านล่าง  ดีไซน์ด้านข้างเน้นเความราบเรียบ มาพร้อมมือเปิดประตูที่ราาบเรียบไปกับตัวรถ แต่มีช่องให้มือสามารถสอดเข้าไปเปิดได้ ด้านขอบซุ้มล้อตกแต่งด้วยแถบวัสดุสีดำตามแบบฉบับรถสไตล์ครอสโอเวอร์ รวมทั้งในส่วนด้านบนหลังคามากับราวแล็กหลังคาสีดำ ขณะที่ชุดไฟท้ายมาในแบบ Matrix ที่สามารถเลือกปรับลวดลายการส่องสว่างได้ถึง 3 รูปแบบ โดย Mini Aceman จะมีให้เลือก 4 เกรด ได้แก่ Essential, Classic, Favoured และ JCW โดยแต่ละรุ่นจะได้รับล้ออัลลอยด์ขนาดแตกต่างกัน โดยมีขนาด 17 – 19 นิ้ว นอกจากนี้ในรุ่น JCW ที่เป็นรุ่นเรือธงยังได้รับกันชนหท้ายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น มาพร้อมหลังคา และแถบฝากระโปรงสีแดง Chili Red มาพร้อมลายกราฟฟิกลายหมากรุก และกาบล่างสีดำเงา


MINI Aceman SE ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แบบเดียวกับ MINI Cooper SE มอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 170 กม./ชม. มีระยะทางขับขี่สูงสุด 405 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)

ภายในห้องโดยสารของ MINI Aceman จะรองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง วัสดุตกแต่งภายในในหลาย ๆ จุด จะถูกประกอบขึ้นจากวัสดุรีไซเคิล แผงแดชบอร์ดจะถูกติดตั้งเพียงหน้าจอดิจิทัลทรงกลมแบบสัมผัสขนาด 9.44 นิ้ว ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 โดยจะแสดงข้แอมูลต่าง ๆ ไม่าจะเป็น ความเร็ว, สถานะแบตเตอรี่ รวมทั้งตำแหน่งเกียร์ นอกจากนั้นยังมีแผงควบรวมการสั่งการระบบต่าง ๆ ที่อยู่ด้านล่างถัดลงมา คอนโซลกลางจะมีพิ้นที่ขนาดใหญ่ โดยจะถุกดีไซน์ให้มีช่องวางแก้วน้ำ, แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และพื้นที่วางของที่มีขนาดใหญ่ ด้านหลังจะมากับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจะมีความจุ  300 ลิตร แต่สามารถขยายพืน้ที่เพิ่มโดยพับเบาะหลังลงจะเพิ่มพื้นที่ได้มากถึง 1,005 ลิตร นอกจากนั้นตัวรถยังมาพร้อมระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ 12 จุดและกล้อง 4 ตัวรอบคัน อีกด้วย

แบตเตอรี่มีขนาดความจุ 54.2 kWh รองรับการชาร์จไฟแบบ AC กำลังสูงสุด 11 kW ใช้ระยะเวลาชาร์จจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.45 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จด่วนแบบ DC กำลังสูงสุด 95 kW ใช้ระยะเวลาชาร์จจาก 10-80% ในเวลาต่ำสุด 31 นาที

ตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 5 สี

สีแดง Rebel Red
สีน้ำเงิน Indigo Blue
สีน้ำเงิน Blazing Blue
สีขาว Nanuq White
สีเทา Melting Silver

ในเรื่องของราคาคาดกันว่าจะเปิดตัวในวันที่ใกล้ลงโชว์รูม ส่วนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้นจะมีขึ้นที่ในงาน Beijing Auto Show 2024 ที่กำลังมีขึ้นในขณะนี้ 

 

 

Share:
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง