จากการรายงานข่าวของสำนักพิมพ์ นิกเคอิ ได้เผยว่า นิสสัน มอเตอร์ แบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น มีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 6.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 224 ล้านบาท ซึ่งลดลง 99% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่กำไรสุทธิของไตรมาส 2 ปี 67 ลดลง 73% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเหลือ 2.8 หมื่นล้านเยน หรือประมาณ 7 พันล้านบาท จากผลกำไรที่ตกฮวบนี้ เนื่องจากการขาดแคลนรถยนต์ไฮบริดในตลาดใหญ่อย่าง สหรัฐ จนส่งผลกระทบต่อยอดขาย กดดันราคาหุ้นดิ่งกว่า 11%

นอกจากนี้ ยังมีการคาดว่าจะลดลง 12% เหลือ 5 แสนล้านเยน หรือ 1.2 แสนล้านบาท หลังบริษัทปรับประมาณการการเติบโตของกำไรสำหรับทั้งปีสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568 และจากข้อมูลของ MarkLines บริษัทวิจัยในโตเกียวได้ระบุว่า กล่ามกลางยอดขายในสหรัฐของโตโยต้า มอเตอร์ ที่เพิ่มขึ้นถึง 9% เป็น 620,000 คัน และฮอนด้า มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 3% เป็น 350,000 คัน มีเพียงยอดขายของนิสสันในสหรัฐที่ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเหลือเพียง 230,000 คันเท่านั้น

ซึ่งปัญหาหลักของนิสสันในสหรัฐ คือการไม่มีรถยนต์ไฮบริดจำหน่าย ส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือ 34,000 ดอลลาร์ หรือ 1.19 ล้านบาท ขณะที่โตโยต้ามีราคาเพิ่มขึ้น 5% เป็น 41,000 ดอลลาร์ หรือ 1.43 ล้านบาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้นิสสันคาดการณ์ยอดขายทั่วโลกที่ 4 ล้านคันในปีงบประมาณ 2566 แต่ได้ปรับลดประมาณการลงในระหว่างปีเหลือ 3.44 ล้านคัน รวมทั้งปรับประคาดการณ์สำหรับปีงบประมาณปัจจุบันลงอีก 50,000 คัน เหลือแค่ 3.65 ล้านคันเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ นิสสันไม่มีรถยนต์ไฮบริดจำหน่ายในสหรัฐ ก็เพราะมุ่งเป้าไปที่รถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าและไม่มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดในตลาดนี้จนถึงปี 2569 ขณะนี้ นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินรุ่นใหม่หลายรุ่นในสหรัฐ รวมถึงรถอเนกประสงค์อย่าง Kicks นอกจากนี้ทางด้านของ มาโคโตะ อุจิดะ ซีอีโอของบริษัท นิสสัน ยังได้กล่าวในการแถลงข่าวว่า สินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐและยอดขายที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นิสสันต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นในการส่งเสริมการขาย

ปัญหาหลักของนิสสันในตอนนี้คือการขาดทุนมหาศาลในตลาดสหรัฐ จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการส่งเสริมการขาย จนทำให้กำไรจากการดำเนินงานของนิสสันลดลงถึง 1.1 แสนล้านเยน อ้างอิง Nikkei