ในที่สุด Dodge (ดอดจ์) ก็ได้เปิดตัวรถ Muscle Car (มัสเซิลคาร์) ในตำนานอย่าง Dodge Charger (ดอดจ์ ชาร์จเจอร์) รุ่นใหม่หมดจดอย่างแท้จริง นับตั้งแต่รุ่นเดิมที่ได้เปิดตัวเมื่อ 19 ปีที่แล้ว โดยระยะแรกจะเป็นรุ่น 2 ประตู Coupe ก่อนที่รุ่นซีดานจะตามมาในปีหน้า
ด้วยแพลทฟอร์มใหม่ ขุมพลัง EV เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 6 ทศวรรษของ Charger, อีกทั้งยังไม่ยุติขุมพลังเครื่องยนต์ V8 โดยสิ้นเชิง, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบมาตรฐาน และการกลับมาของตัวถังรถ 2 ประตู Coupe อีกครั้ง
ตัวถังซีดาน 4 ประตู และเครื่องยนต์สันดาป จะให้กำลัง 420 แรงม้า และ 550 แรงม้า จะตามมาในปีหน้า รวมถึงรุ่นประสิทธิภาพสูงจะตามมาในปีต่อๆ ไป รวมไปถึงเวอร์ชั่นรถตำรวจด้วย
Dodge Charger รุ่นปี 2024 นี้จะมาแทนที่ทั้ง Dodge Charger และ Dodge Challenger รุ่นเก่า นั่นเท่ากับว่ามีรถสองคันในคันเดียว และ Charger Daytona Coupe รุ่น 2 ประตู จะเข้าสู่การผลิตที่เมืองวินด์เซอร์ รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ช่วงฤดูร้อนนี้ ส่วน Charger Sedan จะออกจากโรงงานเดียวกันในต้นปีหน้า
ทั้งรูปแบบตัวถัง 2 และ 4 ประตู มีระยะฐานล้อขนาด 3,074 มม. เท่ากัน ซึ่งยาวกว่า Charger รุ่นเก่าเพียง 20 มม. แต่ความยาวโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 203 มม. อยู่ที่ 5,248 มม.
นอกจากนี้รุ่นใหม่ยังกว้างกว่า Charger และ Challenger รุ่นเดิมเกือบ 127 มม. ทำให้ Charger เป็นรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ยาวและกว้างกว่า Mercedes-Benz S-Class อีก ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่จะมีน้ำหนักถึง 2,648 กก. ในรุ่นพลังงานไฟฟ้า (ส่วนรุ่นสันดาป ยังไม่ประกาศน้ำหนักตัวรถ)
Dodge Charger มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม STLA Large รุ่นใหม่ของ Stellantis (สเตลแลนทิส) และแพลทฟอร์มนี้ออกแบบมาให้รองรับระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพิ่มเติมได้
นั่นหมายความว่า Dodge จะปล่อยรุ่นย่อยและตัวเลือกเพิ่มเติม เพียงแต่ตอนนี้จะมีเพียงรุ่น R/T และ Scat Pack โดยซึ่งทั้ง 2 รุ่นย่อยมาพร้อมกับระบบจัดการพลังงาน eStage การเชื่อมต่อโดยตรง
ในรุ่นเริ่มต้น R/T ให้กำลังสูงสุด 496 แรงม้า (โดยมีชุดอุปกรณ์ Stage 1 มาตรฐาน ที่ให้กำลัง 40 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 548 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที และวิ่งควอเตอร์ไมล์ใน 13.1 วินาที
ส่วนรุ่น Scat Pack ให้กำลังสูงสุด 680 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ในเวลา 3.3 วินาที และวิ่งควอเตอร์ไมล์ใน 11.5 วินาที
แต่น่าแปลกที่รุ่น Scat Pack ทำความเร็วได้สูงสุดที่ 216 กม./ชม. ในขณะที่รุ่น R/T กลับเร็วกว่าเล็กน้อยที่ 221 กม./ชม. และรุ่น R/T วิ่งได้ระยะทางถึง 510 กม. ส่วนรุ่น Scat Pack จะวิ่งได้ถึง 418 กม.
ซึ่งทั้ง 2 รุ่นจะใช้เวลาชาร์จเท่ากัน จาก 5-80% ใน 411 นาที บนเครื่องชาร์จระดับ 2 และ 32.5 นาที เมื่อเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟขนาด 350 kW ซึ่งทาง Dodge ยังไม่ยืนยันว่าจะสามารถเข้าถึงเครือข่ายการชาร์จ Supercharger ของ Tesla ได้หรือไม่ หรือเมื่อใดที่จะเปลี่ยนจากพอร์ตชาร์จ CCS เป็น NACS เพื่อลดความจำเป็นในการใช้อแดปเตอร์ของ Tesla
สำหรับ Dodge Charger Daytona EV ทั้ง 2 รุ่น จะได้รับเครื่องกำเนิดเสียง Fratzonic Chambered Exhaust ของ Dodge ซึ่งทำให้รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ดังเท่ากับ Charger Hellcat รุ่นเดิม เว้นแต่จะเปิดใช้งานโหมดเงียบ และเสียงจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่เลือก
แต่ Tim Kuniskis CEO ของ Dodge อ้างว่า จังหวะ และจังหวะนั้นสอดคล้องกับเครื่องยนต์ Hemi V8 แบบดั้งเดิม
ส่วนรูปโฉมภายนอก มาพร้อมกับตัวอักษร R/T และโลโก้รูปผึ้ง Scat Pack อันโดดเด่นที่บังโคลนหน้า โดยในรุ่น R/T จะใช้ล้อ Tech Silver ขนาด 18 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ Scat Pack จะใช้ล้อ Satin Carbon ขนาด 20 นิ้ว
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างรุ่นในการตกแต่งภายใน ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับการออกแบบตามรถยนต์แนวคิด มีหน้าจอ 2 จอ แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย ระบบไฟส่องสว่างโดยรอบที่เป็นอุปกรณ์เสริม และรูปแบบใหม่ของคันเกียร์รูปทรงด้านปีนพกสไตล์คลาสสิก
ส่วนหน้าจอสัมผัสตรงกลางขนาด 12.3 นิ้ว ขับเคลื่อนโดย Uconnect 5 จับคู่กับหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว ในรุ่น R/T และรุ่น 16 นิ้ว ในรุ่น Scat Pack มีเบาะผ้าและไวนิลแบบมาตรฐาน ที่นั่งด้านหลังสามารถพับลงเพื่อเผยให้เห็นห้องเก็บสัมภาระขนาด 1,090 ลิตร
อีกทั้งข่าวดีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ Muscle Car แบบเดิมๆ ก็คือ Dodge ไม่ได้ละทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะเลิกใช้ขุมพลัง V8 ไปแล้วก็ตาม โดย Dodge จะนำเสนอ Charger ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน 2 รุ่นตั้งแต่ต้นปีหน้า ซึ่งทั้ง 2 รุ่น จะใช้เครื่องยนต์ Hurricane แบบ 6 สูบแถวเรียง ที่ปรากฎใน Jeep และ Ram
เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร Twin Turbo ในรุ่นมาตรฐาน ให้กำลังสูงสุด 420 แรงม้า และ dodge กล่าวว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าเครื่องยนต์ Hemi V8 ขนาด 5.7 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 375 แรงม้า
และรุ่นที่เหนือกว่าให้กำลัง 550 แรงม้า จะมาแทนที่เครื่องยนต์ Hemi V8 ขนาด 6.4 ลิตร และมีกำลังเพิ่มขึ้น 65 แรงม้า ซึ่ง Dodge ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขสมรรถนะสำหรับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่จะไม่มีรุ่นไหนที่สามารถเอาชนะฝั่งขุมพลังไฟฟ้า ที่ใช้เวลาในการเร่งความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ใน 3.3 วินาที
ในรุ่น R/T มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ Auto, Eco, Sport, Wet/Snow และ Track ซึ่งเปลี่ยนได้โดยการกดปุ่มบนพวงมาลัย
และยังสามารถลองใช้ฟีเจอร์ Launch Control แต่เฉพาะลูกค้า Scat Pack เท่านั้น ที่จะสามารถเข้าโหมด Donut ที่ระบบจะใช้เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปด้านหลังและหมุนเฉพาะล้อหลังเพื่อให้ Charger หมุนได้โดยที่ ESP ไม่ทำงาน
ในรุ่น Scat Pack ยังมีความพิเศษอีกอย่าง คือ Track Package ที่จะมาพร้อมจานเบรก Brembo ขนาดใหญ่ 16 นิ้วและคาลิปเปอร์แบบ 6 ลูกสูบ (4 ลูกสูบที่ด้านหลัง) ยาง Goodyear Eagle F1 Supercar 3 ด้านหน้าขนาด 305 มม. และด้านหลังขนาด 335 มม.
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเครื่องบันทึกการขับขี่ที่มีกล้องติดรถยนต์ ไมโครโฟนในกล้อง และเครื่องบันทึกข้อมูล เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กล้องมองภาพรอบทิศทาง และจอแสดงผลบนกระจกหน้า
สำหรับ Dodge Charger นับได้ว่าเป็นหนึ่งในชื่อมรดกของ Dodge ที่ยังมีตัวตนอยู่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ตราสัญลักษณ์อาจปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชื่ออื่นๆ เช่น Super Bee ในรุ่นใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นนี้
แหล่งที่มาจาก
- Carscoops