ในปี 2023 นี้ "รถยนต์ไฟฟ้า" หรือ Electric Vehicle (รถ EV) ยังมาแรงในไทยสุดๆ เหมือนเดิม และในวงการยานยนต์โลก มีปริมาณความต้องการมหาศาล จากไปถึงปัญหาโลกร้อน และปัญหาน้ำมันแพง ที่ทำให้ค่ายรถยนต์ทั่วโลก ต่างต้องปรับธุรกิจของตน ไปขายรถ EV ให้ได้โดยไวที่สุด ตามความต้องการของผู้บริโภค
ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับความนิยมในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีรถ EV ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกแล้ว 20,000 คัน ขยายตัวถึง 270% เป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นผลจากมาตรการส่งเสริมการใช้รถ EV ของรัฐบาล มีค่ายรถยนต์เข้าร่วมมาตรการรัฐแล้ว 11 ราย
จากการที่ค่ายรถ (หลายแบรนด์) ลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิต ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0% พร้อมทั้งรัฐบาลมอบเงินอุดหนุนส่งเสริมรถ EV ตามขนาดแบตเตอรี่รถยนต์ให้ 70,000 - 150,000 บาท พร้อมทั้งลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคันสูงสุด 40% ถึงปี 2566 และยกเว้นอากรขาเข้าส่วนประกอบรถยนต์ EV เพื่อนำมาประกอบในประเทศ 9 รายการ
สำหรับในงาน Big MOTOR SALE 2023 (บิ๊กมอเตอร์เซล 2023) ที่จัดขึ้นในเวลานี้ รถพลังงานไฟฟ้ายอดฮิต ก็ยังมีนำมาโชว์กันหลายรุ่น แม้ว่าจะไม่ครบทุกรุ่นที่มีขายในไทยก็ตาม
Siamcar ขอแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า (รุ่นเด่นๆ) ภายในงาน Big MOTOR SALE 2023 ด้วยกัน 10 รุ่นครับ ว่าจะมีรถรุ่นเด่นๆ รุ่นไหนบ้างที่ถูกใจคุณ มาดูกันได้เลยครับ …
1. Wuling Air EV
Wuling Air EV (วู่หลิง แอร์ อีวี) สร้างขึ้นบนแพลทฟอร์ม GSEV หรือ Global Small Electric Vehicle ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 2 ที่จำหน่ายรถ Wuling Air EV เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา มาพร้อมแนวคิด "Easy Drive : Easy Life หรือ ขับง่าย ชีวิตก็ง่าย" ภายในมี 4 ที่นั่ง ใช้งานในเมืองได้สะดวก
ยกระดับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น Auto Brake Hold, Keyless Entry และ Mobile Application Remote Control
Wuling Air EV ปัจจุบันมี 2 รุ่น คือ Standard Range และ Long Range 4 ที่นั่ง 3 ประตู ซึ่งความจุของแบตเตอรี่สำหรับรุ่น Standard Range 17.3 kWh สามารถวิ่งได้ 200 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 8 ชั่วโมง และรุ่น Long Range ความจุของแบตเตอรี่ 26.7 kWh สามารถวิ่งได้ 300 กม. ต่อการชาร์จแบบ AC 6.6 kW 1 ครั้ง 4 ชั่วโมง ทำความเร็วได้สูงสุด 104 กม. /ชม.
ในรุ่น Long Range มีแอพพลิเคชั่นควบคุมการทำงานของรถได้จากระยะไกล อาทิ ล็อค-ปลดล็อครถ ปรับกระจก ขึ้น-ลง เปิด-ปิดแอร์ เช็คสถานะแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ และ ตำแหน่งรถ เป็นต้น
โดยรถยนต์ไฟฟ้า Wuling Air EV นั้น มีระยะวิ่งสูงสุดได้ถึง 300 กิโลเมตร ทำให้สามารถใช้รถได้ 2-3 วันก่อนต้องชาร์จไฟ มีอัตราสิ้นเปลืองที่กิโลเมตรละ 35 สตางค์ ไม่กินไฟสูงระหว่างรถติด และด้วยขนาดกะทัดรัดทำให้หาที่จอดรถได้ง่ายขึ้น
Wuling Air EV มาในราคาโปรโมชั่นเดิมที่ 395,000 บาท และราคาสูงสุด 485,000 บาท
2. Volt City EV
VOLT City EV (โวล์ต ซิตี้ อีวี) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นใช้งานในเมืองเป็นหลัก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ขนาดตัวถังกะทัดรัด สไตล์ Minimal ปรับแต่งช่วงล่าง ให้เข้ากับสภาพถนนในไทย ขับง่าย ขับสบาย มีทั้งในแบบ 3 ประตู และ 5 ประตู ใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่จับต้องได้ รูปลักษณ์ที่ถูกใจในทุกเพศทุกวัย
ภายในห้องโดยสาร กว้างขวาง โปร่งสบาย ใช้โทนสีแบบทูโทน วัสดุแผงคอนโซลเป็นพลาสติกขึ้นรูปที่ดูสวยมีสไตล์ โดยในรุ่น Top มาพร้อมจอแสดงข้อมูล Multi-Function แบบ Double Screen ปุ่มควบคุมเสียงและโทรศัพท์บนพวงมาลัย กล้องมองขณะถอยหลัง เกียร์เป็นแบบปุ่มกดสไตล์รถ EV คอนโซลดูเรียบหรูทันสมัย ตัดขอบช่องแอร์ด้วยวัสดุสีเงินด้าน เบาะหนังใช้โทนสีแบบทูโทนเช่นกัน
ส่วนการชาร์จกระแสไฟฟ้าจะเป็นแบบ Normal Charge เท่านั้น โดยจะใช้เวลาในการชาร์จเต็มประมาณ 6 ชั่วโมง เมื่อชาร์จเต็มสามารถขับได้ไกล 160 – 200 กิโลเมตร เฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองอยู่เพียงแค่กิโลเมตรละ 30 สตางค์ ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากในภาวะราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน และทำความเร็วสูงสุดได้ 105 กม./ชม.
Volt City EV มาในราคา 365,000 บาท สำหรับรุ่น VOLT FOR-TWO และ 425,000 บาท สำหรับรุ่น VOLT FOR-FOUR
3. MG4 Electric
New MG4 Electric (เอ็มจี 4) รถแฮทช์แบ็คขับเคลื่อนล้อหลังพลังงานไฟฟ้า 100% (EV) ภายใต้แนวคิด "ICON" พร้อมให้คนไทยสัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่ ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) รุ่นที่ 3 ของเอ็มจี ที่แนะนำเข้าสู่ตลาดต่อจาก MG ZS EV และ MG EP
ออกแบบและพัฒนาเป็น "รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง" (Dynamic Rear Wheel Drive) กับ Nebula Pure Electric Platform โครงสร้าง “เนบิวลา” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อยนตรกรรมไฟฟ้าโดยเฉพาะ แถมพื้นที่ภายในห้องโดยสารยังกว้างขวางมากขึ้นด้วย
ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับเทคโนโลยี RUBIK’s Cube Battery ขนาดความจุ 51 kWh จัดเรียงเซลล์แบบแนวนอนและระบายความร้อนด้วยระบบ Liquid Cooling system วิ่งได้ระยะทางไกลสูงถึง 425 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 88kW และการชาร์จแบบเร็ว หรือ Quick charge จาก 10% - 80% ในเวลาเพียง 35 นาที พร้อมเปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกรถด้วยระบบ V2L
และช่วยชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ในขณะชะลอรถ ด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ ต่ำ กลาง สูง และ แบบแปรผันตามการขับขี่ กระจายน้ำหนักแบบสมมาตรที่ 50:50 พร้อมตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ รัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.3 เมตร และมี Overhang ด้านหน้าและหลังของรถที่สั้น
พร้อมกับอีกหนึ่งไฮไลท์จากการออกแบบรถไฟฟ้าโดย AI ในช่วงที่ "สีชมพู ฟีเวอร์" นำมาสร้างเป็น New MG4 Electric สีชมพูด้วย Concept "From AI To Reality" โดยนำเอา New MG4 Electric มาแรพด้วยสติ๊กเกอร์สี Fresh Pink ทั้งคัน พร้อมเปิดรับจองให้เป็นเจ้าของเพียง 8 คัน ในงาน Big MOTOR SALE 2023 เท่านั้น
New MG4 Electric สี Fresh Pink เลือกเป็นเจ้าของได้ทั้งรุ่น D ราคา 869,000 บาท และ รุ่น X ราคา 969,000 บาท ซึ่งเป็นราคาปกติ
4. MG ES
New MG ES (เอ็มจี อีเอส) สเตชันวากอนไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ ภายใต้ Concept "Comfortable เป็นทุกอย่าง เพื่อทุกโมเมนต์" สานต่อความมุ่งมั่นในการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพที่ผสมผสานดีไซน์อันเรียบหรูดูล้ำสมัยในแบบฉบับ New Era Design พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางพร้อมฟังก์ชันสุดครบครัน
ชุดกันชนหน้าไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Light Curtain Design เสริมการใช้งานมากขึ้นด้วยชุดราวหลังคา (Roof Rail) ที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม มาพร้อมกับห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย ทั้งยังสามารถบรรจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,367 ลิตร
ตกแต่งภายในด้วยเส้นสายโทนสีฟ้า Energetic Blue Strip ให้ภายในหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมเบาะนั่งวัสดุหุ้มหนังสังเคราะห์ Denim Texture Design ให้ผิวสัมผัสคล้ายยีนส์ ปรับลุคให้ดูมีความทันสมัย และดูแลรักษาง่าย ชุดเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ยกขอบปีกข้าง พร้อมเทคโนโลยี Zero-G Seats กระจายน้ำหนัก และรองรับสรีระของผู้นั่งให้ดียิ่งขึ้นเดินทางระยะไกลได้สบาย
มาพร้อมแพลตฟอร์มระบบส่งกำลังใหม่ล่าสุด ที่มีขนาด และน้ำหนักลดลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 53% ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-Layer Hair Pin PMSM ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ซึ่งมอเตอร์แบบใหม่ให้การตอบสนองที่ดีขึ้น โดยสามารถปรับเร่งรอบได้สูงถึง 15,000 รอบ/นาที
ทำให้ New MG ES ทำความเร็วสูงสุดได้มากถึง 185 กม./ชม. พร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ถึง 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย และมีรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.95 เมตร
New MG ES มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh ปรับปรุงให้น้ำหนักเบาลง 22% และระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ให้สมรรถนะในการขับเคลื่อนได้ไกลถึง 412 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)
รองรับการชาร์จทั้งแบบ Quick Charge จาก 0% - 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 87 kW และ Normal Charge รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kW ใช้เวลาการชาร์จจาก 0% - 100% 7 ชั่วโมง 15 นาที ผ่าน MG HOME CHARGER ที่ 6.6 kW อีกทั้งยังรองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์
MG ES มาในราคา 959,000 บาท
5. MG MAXUS 9
New MG MAXUS 9 (เอ็มจี แมคซัส 9) รถลักชัวรี่ MPV ไฟฟ้า 100% แบบ 7 ที่นั่งตัวล่าสุดของ MG ย้ำภาพผู้นำ และผู้บุกเบิกตลาด EV ในไทยกับการเป็น “เจ้าแรก” ที่เปิดน่านน้ำใหม่ด้วยรถไฟฟ้าแบบ 7 ที่นั่ง เหนือกว่าด้วยฟังก์ชัน และฟีเจอร์ล้ำสมัย
นำเสนอความเป็น “ที่สุด” ทั้งงานดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา มีเอกลักษณ์ กระจังหน้าแบบ Grille Less Design ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบสไลด์ด้วยไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า
การตกแต่งภายในพรีเมี่ยม หรูหรา โดดเด่นด้วยหลังคาแบบ Dual Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมี Ambient light ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้มากถึง 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศเป็นแบบ Dual Zone ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง สะดวกสบายทุกที่นั่ง
ไม่ว่าจะเป็นเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง และเบาะแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat โดยมีระบบบันทึก ระบบนวด และปรับอุณหภูมิได้ พร้อมโต๊ะที่สามารถพับเก็บได้
จอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android ให้พลังเสียงแบบรอบด้านด้วยลำโพง 12 จุด พร้อมช่อง USB มากถึง 9 ตำแหน่ง เสริมความพรีเมียมด้วยกระจกมองหลังผ่านกล้อง Streaming Media Rearview Mirror กับมุมมองที่หาไม่ได้จากรถทั่วไป
ใช้ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน จัดวางแบบ Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุดที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)
พร้อมรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 kWh โดยชาร์จไฟจาก 30% - 80% ใช้เวลาเพียง 30 นาที และการชาร์จแบบธรรมดา รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kWh โดยชาร์จไฟจาก 5% - 100% ในเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง
พร้อมมั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยที่ครบครันที่สุด ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ Full Space Frame ถุงลมนิรภัยรอบคัน และระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับสูงพร้อมระบบ ADAS รวมมากถึง 25 ระบบ
MG MAXUS 9 มีให้เลือกในไทย 2 รุ่นย่อย ได้แก่
รุ่น X – Luxury ที่มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีขาว ราคา 2,499,000 บาท
รุ่น V – Super Luxury ที่มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ และสีขาว ราคา 2,699,000 บาท และสีพิเศษเทาหลังคาดำ แกรนิตเกรย์ เพิ่มอีก 30,000 บาท
6. BYD Dolphin
BYD Dolphin (บีวายดี ดอฟิน) รถยนต์ Hatchback พลังงานไฟฟ้ารุ่นล่าสุด มาพร้อมเทคโนโลยี e-Platform 3.0 แพลตฟอร์มที่ออกแบบให้รถมีความสมดุลพร้อมเทคโนโลยี BYD Blade Battery เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ที่จัดเก็บพลังงานและให้ระยะการขับเคลื่อนสูง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS)
BYD Dolphin หรือที่เรียกว่า “สุนทรียศาสตร์แห่งมหาสมุทร” เต็มไปด้วยความสดใหม่และสีสัน โดดเด่นด้วยการออกแบบจากรูปทรงโลมาตั้งแต่ภายนอก รับกับไฟหน้า LED เส้นด้านข้างออกแบบให้สอดรับกัน ไฟท้ายสะดุดตาโฉบเฉี่ยว
การออกแบบภายในกว้างขวางและเต็มไปด้วยสีสัน คอนโซลหน้าเป็นลายคลื่นรับกับช่องแอร์ มือจับเปิดประตูทรงครีบโลมาพร้อมโลโก้ BYD ที่ดุมล้อ ระบบสัญญาณเสียงแจ้งต่างๆ จำลองมาจากท้องทะเล และระบบอัจฉริยะใหม่ “Follow Me Home” ที่จะมาเพิ่มความปลอดภัยหลังจากจอดรถ
โดยพื้นที่จัดเก็บสัมภาระท้ายรถจัดเก็บกระเป๋าเดินทางขนาด 30 นิ้ว ได้ 1 ใบ และขนาด 20 นิ้ว ได้ 2 ใบ พร้อมเบาะโดยสารด้านหลังที่ปรับพับได้แบบ 60:40
BYD Dolphin ประกอบด้วย 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Standard Range และรุ่น Extended Range ซึ่งนวัตกรรมขุมพลังของ Blade Batter ทำให้รุ่น Standard Range สามารถเดินทางได้ไกลถึง 410 กิโลเมตร และ 490 กิโลเมตร สำหรับรุ่น Extended Range (ตามมาตรฐาน NEDC)
นอกจากนี้ ยังมีระบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่ใช้แบตเตอรี่ความจุ 44.9 kWh ให้แรงบิดสูงถึง 180 นิวตัน-เมตร สำหรับรุ่น Standard Range และความจุ 60.48 kW กำลังมอเตอร์สูงถึง 150 กิโลวัตต์ แรงบิดมหาศาล 310 นิวตัน-เมตร สำหรับรุ่น Extended Range
ด้วยมอเตอร์ที่ทรงพลัง ทำให้รุ่น Standard Range มีอัตราเร่งที่ 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.3 วินาที และภายใน 7 วินาที สำหรับรุ่น Extended Range
ทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมด้วยหัวชาร์จ AC Type 2 ขนาด 7 กิโลวัตต์ และพอร์ตชาร์จ DC ขนาด 60 และ 80 กิโลวัตต์ ตามลำดับ, ที่ให้การเพิ่มระดับแบตเตอรี่จาก 30% - 80% ในเวลา 29 นาที อีกทั้งยังมีระบบเทคโนโลยี Vehicle to Load (VtoL) ที่จ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 2000w ทำให้รถถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ได้
สำหรับ BYD Dolphin Standard Range ราคา 699,999 บาท และรุ่น Extended Range ราคา 859,999 บาท
7. BYD ATTO 3
BYD ATTO 3 (บีวายดี แอทโต้ 3) นับเป็นก้าวสำคัญที่ Rêver Automotive ได้นำเทคโนโลยีและยานยนต์พลังงานรูปแบบใหม่มาเพื่อสร้าง NEV Ecosystem ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจในการผลักดัน Zero Emission ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิด "Energy Awaken ปลุกพลังใหม่ ปลุกชีวิตที่ดีกว่า"
นับเป็นที่สุดของ Premium SUV 5 ประตู 5 ที่นั่ง ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยว หน้าตาแบบ Dragon Face มีหลังคา Panoramic Sunroof พร้อมการตกแต่งภายในที่ล้ำสมัยสไตล์ Sporty & Rhythmic Design ที่คำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยของผู้ขับขี่
ภายในได้แรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ผู้กล้าที่จะแตกต่าง หรูหรา โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัยภายใต้แนวคิด Electric Interior ผสานอย่างลงตัวกับดีไซน์ Music Streamline Design ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องดนตรี พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง ดีไซน์สปอร์ตแบบ 3 ก้าน หน้าจอ Infotainment ขนาด 12.8 นิ้ว หมุนได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
โดดเด่นด้วยขุมพลังจาก BYD Blade Battery (LFP) อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ BYD ด้วยรูปทรงเซลล์แบตเตอรี่ลักษณะคล้ายใบมีดวางเรียงกัน ความจุ 60.48 kWh ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร ให้ระยะทางวิ่ง 480 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.3 วินาที
ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Assisted Steering (EPAS) ช่วงล่างมีระบบกันสะเทือนมัลติ-ลิงค์ด้านหลัง ให้ความนุ่มนวลและเกาะถนนดีเยี่ยม ระบบเบรคด้านหน้าดิสก์เบรคแบบมีช่องระบายความร้อน พร้อม DiPilot ปลุกให้คุณสัมผัสความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบผู้ช่วยในการขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety และ Passive Safety
รองรับหัวชาร์จ แบบ AC Type 2 และแบบ DC - CCS 2 สูงสุด 80kW มีระบบ V2L (Vehicle To Load) จ่ายไฟฟ้าได้สูงสุด 2.2 kW พร้อมระบบการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative braking)
BYD ATTO 3 มาในราคา 1,199,900 บาท
8. NETA V
NETA V (เนต้า วี) เป็นรถยนต์ไฟฟ้า “Touchable Smart EV” ในรูปแบบ Crossover ขนาดเล็กแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง ตัวรถภายนอกได้แรงบันดาลใจมาจาก “โลมา” ด้านหน้ารถยื่นแหลมเหมือนปากโลมา ด้านข้างมีสันนูน เน้นความลู่ลม
ภายในห้องโดยสารเรียบง่ายสไตล์มินิมอล แผงคอนโซลแบบเล่นระดับตกแต่งลายไม้ เบาะนั่งหนังสังเคราะห์ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรง 2 ก้าน มีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล หน้าจอ Infotainment แบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมระบบควบคุมสั่งงานด้วยเสียง แอร์อัตโนมัติ และระบบกรองอากาศ N95 ส่วนเบาะหลังพับได้ พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระท้ายขนาด 335 ลิตร
NETA V มีสมรรถนะเพียงพอต่อการใช้งานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) ความจุ 38.5 kWh ให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 384 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)
ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP67 พร้อมด้วยระบบจัดการอุณหภูมิแบตเตอรี่ HEPT 3.0 และระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System รองรับการชาร์จกระแสสลับ AC Normal Charge จาก 0-100% ในระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง และการชาร์จกระแสตรง DC Quick Charge จาก 30-80% ในระยะเวลาประมาณ 30 นาที
ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์
NETA V มาในราคา 549,000 บาท
9. Volvo C40 Recharge Pure Electric / Volvo XC40 Recharge Pure Electric
Volvo Cars ประกาศจำหน่ายรถไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด Volvo C40 Recharge Pure Electric Twin Motor และ Volvo XC40 Recharge Pure Electric Twin Motor ที่อัพเกรดให้ระยะการขับขี่ไกลยิ่งขึ้น รองรับการชาร์จได้เร็วกว่าเดิม
ภายนอกของตัวรถทั้ง 2 รุ่น ยังได้รับการปรับโฉมในส่วนล้อ โดยเป็นล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ 5-Spoke Black Diamond Cut ที่ช่วยลดแรงเสียดทาน พร้อมไฟคู่หน้าแบบ Thor’s Hammer ที่คงเอกลักษณ์ด้วยเทคโนโลยี pixel LED ที่ไฟ LED แต่ละดวงทำงานแยกจากกันเป็นอิสระ
Volvo C40 Recharge Pure Electric และ XC40 Recharge Pure Electric รุ่นมอเตอร์คู่เจเนอเรชั่นใหม่นี้ได้รับการอัพเกรดมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าและหลังจากเดิมที่ขนาด 150 กิโลวัตต์ ให้เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ที่พัฒนาโดยทีมวอลโว่ จึงให้พลังแรงม้าจากมอเตอร์ล้อหลังที่ขนาด 258 แรงม้า
และยังได้มีการนำอะซิงโครนัสมอเตอร์ขนาด 150 แรงม้ามาไว้ที่เพลาล้อหน้า ซึ่งมอเตอร์ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าตลอดเวลาจึงช่วยลดการใช้พลังงาน ส่งผลให้ระยะทางการขับของรถทั้งสองรุ่นทำได้ไกลยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่พัฒนามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Volvo C40 และ XC40 Recharge Pure Electric Twin Motor ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุ 82 kWh ส่งผลให้ Volvo XC40 Recharge Pure Electric Twin Motor ให้ระยะการเคลื่อนที่ได้ไกลถึง 645 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งมากกว่าโมเดลก่อนหน้าถึง 145 กิโลเมตร
และสำหรับ Volvo C40 Recharge Pure Electric Twin Motor ก็สามารถวิ่งได้ไกลในระยะทาง 650 กิโลเมตร จาก 530 กิโลเมตรในรุ่นเดิม1
นอกเหนือจากขนาดแบตเตอรี่ที่มีความจุมากขึ้น รถทั้ง 2 รุ่นยังรองรับการชาร์จที่เร็วขึ้นกว่าเดิมโดยสามารถชาร์จสูงสุดถึง 200kW DC (จากเดิมที่ 150kW DC) ทำให้ชาร์จจาก 10 - 80% ใช้เวลาเพียง 28 นาที
สำหรับ Volvo C40 Recharge Pure Electric Twin Motor มาในราคา 2,790,000 บาท และสำหรับรุ่น Volvo XC40 Recharge Pure Electric Twin Motor ราคา 2,690,000 บาท
10. MINI Electric
MINI Cooper SE (มินิ คูเปอร์ เอสอี) ใหม่ สืบทอดตำนานความคลาสสิกในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นและชัดเจน มาพร้อมไฟหน้า LED พร้อมล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Power Spoke พร้อมยางรันแฟลตพิเศษเฉพาะ ฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา ตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของมินิ 3 ประตู บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric
ขุมพลังแบบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่ BMW Group ได้พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 kWh ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และมอบแรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 150 กม./ชม. โดยมอบพลังหากชาร์จเต็มหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ระยะทาง 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
ตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่แรงดันสูงบริเวณใต้ท้องรถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ทำให้มินิ คูเปอร์ เอสอี มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระมากกว่ารุ่นอื่นๆ และเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างจากแบตเตอรี่ใต้ท้องรถและพื้นถนน จึงได้รับการออกแบบให้สูงกว่ามินิรุ่นอื่นๆ 18 มิลลิเมตร
MINI Cooper SE ยังติดตั้งระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะรุ่นเท่านั้น โดยจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงสำหรับขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ โดยทุกชิ้นส่วนของระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะถูกปกป้องด้วยโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และจะหยุดการทำงานทั้งหมดทันทีหากเกิดการชน
MINI Electric มาในราคา 2,459,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard พร้อมฟรีค่าบำรุงรักษา 4 ปี)
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ MG ZS EV, MG EP, LEVC TX, Porsche Taycan, BMW i7 หรือ Mercedes-Benz EQS ให้คุณได้เลือกชมด้วยเช่นกันครับ