GWM จัดส่วนลด TANK 500 HEV 250,000 บาท .
GWM TANK 500 HEV
ราคาอย่างเป็นทางการ (ประกอบไทย)
TANK 500 Hybrid 4WD PRO 2,049,000 1,849,000* 1,799,000 บาท**
TANK 500 Hybrid 4WD ULTRA 2,269,000 2,069,000* 2,019,000 บาท**
* ส่วนลด 200,000 บาท GWM TANK 500 HEV รุ่น PRO จาก 2,049,000 เหลือ 1,849,000 บาท และ รุ่น ULTRA จาก 2,269,000 เหลือ 2,069,000 บาท
** ลดเพิ่มจากรอบก่อนอีก 50,000 บาท ไม่แถม GPSI นาน 5 ปี โปรพิเศษ Trade-in เพียงนำเล่มรถเก่ามาโชว์ เหลือราคา รุ่น PRO 1,799,000 / ULTRA 2,019,000
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ TANK 500 HEV ถือว่ามีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นและชัดเจน โดยเฉพาะขนาดตัวถังที่มีความใหญ่โต ผสานเข้ากับเส้นสายที่เน้นความหรูหราและภูมิฐาน ชวนให้นึกถึงงานดีไซน์ของ Toyota Land Cruiser VX200 กันเลยด้วยซ้ำไป ซึ่งตรงนี้ถือว่าตอบโจทย์ลูกค้าทางแถบเอเชียที่มักใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือในการบ่งบอกถึงฐานะทางสังคม ขับไปจอดที่ไหนก็จะต้องโดดเด่น หรือถ้าขับไปหาเพื่อนก็ต้องโดนสะกิดถามถึงราคากันอยู่เสมอๆ
สำหรับรุ่น ULTRA ที่เราได้มีโอกาสทดสอบในครั้งนี้ ถูกติดตั้งระบบไฟหน้าแบบ Intelligent LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาปิดไฟหน้า Follow-Me-Home เพื่อส่องนำทางเข้าบ้านในเวลากลางคืน อีกทั้งยังมีไฟ Daytime Running Light แบบ LED เพื่อความปลอดภัย และระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุกมาให้ด้วย
ด้านท้ายถูกติดตั้งไฟท้ายแบบ Vertical LED ดีไซน์โดดเด่น พร้อมตกแต่งด้วยกรอบโครเมียมเพิ่มความหรูหรา โดย TANK 500 HEV เลือกที่จะติดตั้งล้ออะไหล่เอาไว้บริเวณประตูท้าย เพื่อสื่อถึงความเป็นรถยนต์แบบออฟโรด แม้ว่ารูปลักษณ์โดยรวมจะเน้นไปที่ความหรูหราก็ตาม เสริมด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่หุ้มด้วยยางขนาด 265/50 R20 เป็นมาตรฐาน
อย่างไรก็ดี ประตูท้ายขนาดใหญ่โตของ TANK 500 HEV จะใช้วิธีเปิดออกทางด้านข้าง ไม่ใช่การยกขึ้นเหมือนกับรถเอสยูวีทั่วไป ซึ่งจุดนี้เองจะกินพื้นที่ในการเปิดค่อนข้างมาก หากจำเป็นต้องจอดรถในช่องจอดตามห้างสรรพสินค้า ก็คงต้องเผื่อพื้นที่ด้านหลังเอาไว้หน่อย เพราะมิเช่นนั้นจะไม่สามารถเปิดประตูเพื่อขนย้ายสิ่งของด้านหลังได้อย่างสะดวกนัก
ภายในห้องโดยสารของรุ่น ULTRA ถูกจัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ทุกตำแหน่งถูกหุ้มด้วยวัสดุหนัง Nappa ที่มีความอ่อนนุ่ม นั่งสบาย ตกแต่งเพิ่มความหรูหราด้วยลวดลายตะเข็บไหว้ โดยเบาะนั่งคู่หน้าของ TANK 500 HEV มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โอบรับสรีระได้ดี ทั้งยังมีพื้นที่รองรับต้นขาขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อนั่งโดยสารเป็นระยะเวลานานๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกล หรือผู้ที่ต้องใช้เวลาอยู่บนรถนานๆ เป็นประจำทุกวัน เบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมด้วยระบบเมมโมรี่ และ Welcome Seat ที่จะเลื่อนเบาะไปข้างหลังเมื่อเปิดประตู ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออก ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง โดยทั้งคู่มีระบบระบายอากาศและระบบนวดผ่อนคลาย รวมถึงมีระบบดันหลังไฟฟ้ามาให้เป็นมาตรฐาน
ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 ก็มีระบบพัดลมระบายอากาศมาให้ โดยสามารถควบคุมจากแผงสวิตช์ด้านหลังคอนโซลกลาง ซึ่งใช้สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศตอนหลังด้วยเช่นกัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศของไทยที่ร้อนนรกแตกแทบทั้งปี โดยเบาะแถว 2 สามารถแยกพับได้แบบ 60:40 ด้วยการปรับมือ และเบาะนั่งแถวที่ 3 พับแยกแบบ 50:50 ที่สามารถปรับพับด้วยปุ่มไฟฟ้าบริเวณห้องเก็บสัมภาระท้ายได้
ห้องโดยสารของ TANK 500 HEV ยังโดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Head-up Display และหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว ที่สามารถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ อีกทั้งมีระบบนำทาง ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) ระบบควบคุมผ่าน GWM Application และรองรับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ได้
ชุดเครื่องเสียงของรุ่น ULTRA จะได้ลำโพงยี่ห้อ Infinity รวม 12 ตำแหน่งรอบคัน โดย Infinity ก็คือหนึ่งในซับแบรนด์ของ Harman ซึ่งถือว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องเสียงชื่ดังระดับโลก โดยคุณภาพเสียงที่ได้ก็เรียกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงทุ้มและเสียงแหลมที่เคลียร์ใสชัดเจน เมื่อรวมกับความเงียบภายในห้องโดยสารของ TANK 500 HEV ก็เรียกว่าเป็นรถที่มีเครื่องเสียงดีที่สุดรุ่นหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสมาเลยก็ว่าได้
เครื่องยนต์
GWM TANK 500 HEV ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ PRO และ ULTRA มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบแปรผัน (VGT) กำลังสูงสุด 244 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 268 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT)
GWM TANK 500 HEV ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 11 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดออฟโรด (โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย, โหมดพื้นหิน, โหมด 4L, โหมด 4H, โหมดพื้นหิมะ และโหมดเชีี่ยวชาญ) พร้อมด้วยระบบล็อกเฟืองท้ายไฟฟ้าทั้งหน้าและหลัง Front & Rear Electric Differential Locks และรองรับการลุยน้ำลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร