ย้อนตำนานสูบหมุน MAZDA RX-7 FD3S
Mazda RX-7 รุ่นแรกสุดถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกในปี 1978 เพื่อเป็นการแทนที่ Rx-3 โดย RX-7 Generation แรกสุดมีรหัสว่า “SA22C” และ “FB” มีการพัฒนาอยู่เสมอตลอดช่วงปี 1978 – 1985 โดยแบ่งออกเป็น 3 Series แต่ละ Series มีความแตกต่างกันที่รายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอก ดีไซน์ภายใน เครื่องยนต์ หรือแม้แต่ขนาดถังน้ำมัน โดยแบ่งเป็นสองช่วงหลักคือ 1978-1980 และช่วง 1981-1985 โดยในช่วงหลังมีการเปลี่ยนกันชนหน้า ติดตั้งเกียร์ 5-speed manual แทนที่ 4-speed
รถยนต์ตัวถัง two-seat sports car ออกแบบโดย Matsaburo Maeda มาพร้อมเครื่องยนต์ Rotary ฉีกกรอบตำรับความแรง โดยใน Series 3 เป็นรุ่นที่มีแรงม้ามากที่สุดตั้งแต่ 135 – 165 horsepower แรงบิด 180 Nm จากเครื่องยนต์ 13B ความจุ 1.3-liter และ 12A Turbocharged Twin-rotor Wankel Rotary มาติดตั้งแบบ mid-engine จึงช่วยกระจายน้ำหนักหน้าหลังได้ดีถึง 50:50 กับน้ำหนักตัวเบาเพียงแค่ 1,100 kg แถมยังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ จับคู่กับระบบส่งกำลัง Sporty Front-Midship และรูปแบบการขับเคลื่อนล้อหลังตามแบบฉบับของรถสปอร์ตพันธุ์แท้ ทำให้ Rx-7 เป็นรถที่มีการควบคุมง่ายเนื่องจาก Balance ที่ดีของตัวรถ ทำให้นักขับต่างติดอกติดใจในสมรรถนะไปตาม ๆ กัน
ขึ้นชื่อว่ารถสปอตร์แล้ว ยังคงมีแรงดึงดูดให้เหล่าชายฉกรรจ์วาดฝันจะเป็นเจ้าของได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถสปอตร์ใหม่เอี่ยมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีความทันสมัย หรือจะเป็นรถสปอตร์เก่า ๆ แต่มีชื่อเสียงลือลั่นผ่านกาลเวลามาถึงปัจจุบัน
ภาพของรถสปอร์ตจากแดนปลาดิบที่เคยทำให้วงการยานยนต์ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือน เครื่องยนต์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เสียงรอบเดินเบาที่ทำให้ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็อยากจะลองเหยียบให้มิดไมล์ดูซักครั้ง แถมรูปลักษณ์ภายนอกที่มีการออกแบบเส้นสายอย่างลงตัว ทำเอาเด็กมหาลัยในสมัยนั้นต้องมองเหลียวหลังกันทุกคน
จนมาถึงวันนี้สำหรับผมเอง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนมันก็ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัวใจของผู้ชายหลายคน นั่นก็คือ “Mazda RX-7”
Mazda RX-7 รุ่นแรกสุดถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกในปี 1978 เพื่อเป็นการแทนที่ Rx-3 โดย RX-7 Generation แรกสุดมีรหัสว่า “SA22C” และ “FB” มีการพัฒนาอยู่เสมอตลอดช่วงปี 1978 – 1985 โดยแบ่งออกเป็น 3 Series แต่ละ Series มีความแตกต่างกันที่รายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอก ดีไซน์ภายใน เครื่องยนต์ หรือแม้แต่ขนาดถังน้ำมัน โดยแบ่งเป็นสองช่วงหลักคือ 1978-1980 และช่วง 1981-1985 โดยในช่วงหลังมีการเปลี่ยนกันชนหน้า ติดตั้งเกียร์ 5-speed manual แทนที่ 4-speed
รถยนต์ตัวถัง two-seat sports car ออกแบบโดย Matsaburo Maeda มาพร้อมเครื่องยนต์ Rotary ฉีกกรอบตำรับความแรง โดยใน Series 3 เป็นรุ่นที่มีแรงม้ามากที่สุดตั้งแต่ 135 – 165 horsepower แรงบิด 180 Nm จากเครื่องยนต์ 13B ความจุ 1.3-liter และ 12A Turbocharged Twin-rotor Wankel Rotary มาติดตั้งแบบ mid-engine จึงช่วยกระจายน้ำหนักหน้าหลังได้ดีถึง 50:50 กับน้ำหนักตัวเบาเพียงแค่ 1,100 kg แถมยังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ จับคู่กับระบบส่งกำลัง Sporty Front-Midship และรูปแบบการขับเคลื่อนล้อหลังตามแบบฉบับของรถสปอร์ตพันธุ์แท้ ทำให้ Rx-7 เป็นรถที่มีการควบคุมง่ายเนื่องจาก Balance ที่ดีของตัวรถ ทำให้นักขับต่างติดอกติดใจในสมรรถนะไปตาม ๆ กัน
1985 Mazda RX-7 รหัส FC3S เป็น generation ที่ 2 หรือที่หลายคนเรียกว่า รุ่น FC เป็นรถที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Porsche 924 และ 944 ค่อนข้างมาก เพราะรถรุ่นนี้ถูกออกแบบเพื่อเจาะตลาดอเมริกา ดังนั้น Chief Project Engineer, Akio Uchiyama จึงบินไปถึงอเมริกาเพื่อดูว่ารถรุ่นไหนขายดีที่นั่น หรือใครเป็นแฟน Initial D จะคุ้นเคยกับรถคันนี้ของ Ryosuke Takahashi เจ้าของฉายา “ดาวหางสีขาว”
Mazda RX-7 FC3S เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ 13B NA 148 แรงม้าในช่วงปี 1986-1988 สำหรับส่งออกเท่านั้น ออกแบบให้ขับกินลมชมวิวใช้งานบนถนนได้ง่าย ขนาดตัวถังกว้างใหญ่กว่า ปรับปรุงการควบคุมให้ลดอาการ oversteer ที่พบบ่อยใน SA22 Generation ส่วนในตลาดญี่ปุ่น JDM จะมีแต่รุ่น Turbo II ที่ใช้เทคโนโลยี twin scroll turbocharger ลดอาการ turbo lag ในรอบต่ำ เพิ่มพละกำลังเป็น 182 แรงม้า สังเกตได้ง่ายจากฝากระโปรงหน้าเจาะรูดูดอากาศระบายความร้อนให้ intercooler
สำหรับคนที่อยากเก็บ RX-7 FC รุ่นพิเศษ ๆ จะมี Limited Edition อย่าง “Infini” ออกมาจำนวนจำกัดที่ผลิตเพียงปีละ 600 คัน ซึ่งเครื่องจะจูนมาแรงกว่า อัพเกรด ECU และช่วงล่าง ล้อ BBS 15 – 16 นิ้ว เบาะ bucket seats ซึ่งจะมีความแตกต่างในรุ่นแต่ละปีอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีรุ่นพิเศษ ”10th Anniversary RX-7″ ผลิตในปี 1988 จำนวน 1,500 คัน สังเกตได้จากสัญลักษณ์ 10th Anniversary Edition และภายในโทนดำล้วน พวงมาลัย Momo รวมถึงรุ่นส่งท้าย “GTUs” ที่เน้นสมรรถนะ ลดน้ำหนักด้วยการถอดสิ่งอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด แทนที่ด้วยอุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพเช่น 4.300 Viscous-type limited slip differential มีจำนวนจำกัดแค่ 100 คัน
แต่เนื่องจากมีรุ่นยิบย่อยตามปีและประเทศเยอะมาก ถ้าจะดูว่าคันไหนแท้หรือแค่แต่งมา ก็ต้องใช้ VIN code ค้นหาพร้อมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะชัวร์สุดครับ
มาถึง Generation ที่ 3 สมการรอคอยสำหรับผู้คลั่งไคล้ใน Rx-7 เมื่อ Mazda ทำการแปลงโฉมครั้งสำคัญ จากรหัส FC เป็น FD ในปี 1993 ท่ามกลางการแข่งขันจากคู่แข่งสุดโหด Toyota และ Nissan ค่าย Mazda หลังพิงฝา สร้างสุดยอด RX-7 ที่ดีที่สุดใน Series ดีไซน์ของรถที่เน้นความเป็น Sports car ออกแบบโดย Tom Matano และ Yoichi Sato มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่เรียกความฮือฮาบ้าคลั่งที่สุดเท่าที่ Mazda เคยทำมากับรหัสตำนาน “13B-REW” จึงถือกำเนิดขึ้น
เครื่องยนต์ Rotary ความจุ 1.3 ลิตร Twin-Turbocharged Twin-rotor บูสแรงม้าสูงสุด 252 แรงม้าในปีแรก และต่อมา 13B-REW ก็ถูกพัฒนาจนมีแรงม้าสูงถึง 276 แรงม้าในปี 2002 ซึ่งระบบ Sequential twin turbocharging system ถือว่าเป็นระบบที่ล้ำหน้ามากในปี 1992 สุดยอดวิศวกรรมที่ให้แรงบิดต่อเนื่องจากการใช้ Turbo ลูกเล็กสำหรับรอบต่ำ และ Turbo ลูกใหญ่สำหรับรอบสูงตลอดช่วงรอบ 1,800 – 4,500 rpm ด้วย boost 10 psi ทำเวลา 0-100 km/h ใน 5.7 วินาที
สำหรับรุ่นย่อยที่น่าสนใจที่สุดของ RX-7 FD ก็คือ “Type RS” นับเป็นรุ่นสูงสุดที่มีการอัพเกรดสมรรถนะมากมาย ช่วงล่าง Bilstein ล้อ 17 นิ้ว ลดน้ำหนักลงเหลือเพียง 1,280 กิโลกรัม ปรับแต่งระบบท่อทางเดินไอเสีย และเซ็ท turbochargers ใหม่ รวมให้กำลัง 280 horsepower @ 6,500 rpm แรงบิด 314 Nm @ 5,000 rpm เบรคเพิ่มขนาด rotor เป็น 12.4 นิ้ว หนา 1.3 นิ้ว
และอีกรุ่นย่อยที่น่าสนใจคือ “Spirit R” ที่มีจำนวน 1,500 คัน แบ่งออกเป็น “Type A” “Type B” และ “Type C” โดย Type A จะเป็นรถ 2-seater 5-speed manual gearbox พร้อมเบาะ Recaro สีแดง ส่วน type B และ C จะเป็นที่นั่ง 2+2 seat
Rx-7 กับ Mazda ที่ร่วมกันสร้างตำนานอย่างยิ่งใหญ่ โดยการสวนกระแสที่พุ่งเข้ามาจับจ้องโจมตี ไม่ว่าจะเป็นขนาดความจุของเครื่องยนต์ที่มีเพียง 1,300 CC ทำให้ฝรั่งนักขับที่นิยมเครื่องยนต์ใหญ่ ๆ อย่างสูบ V พากันส่ายหัว พร้อมตราหน้าไว้ก่อนเลยว่าเครื่องเล็กเกินไป แรงไม่พอ และยังเป็นเครื่องยนต์ที่มีจุดด้อยเยอะ
เมื่อ Mazda Rx-7 ได้แสดงศักยภาพที่ผ่านการพัฒนาขึ้นใหม่ ก็ทำเอาฝรั่งหลายคนถึงกับหน้าชา เพราะ 13B-REW มีขนาด 1,300 CC ซึ่งแม้จะเล็ก แต่การทำงานของเครื่อง Rotary นั้น เมื่อมันหมุนด้านที่ 1 ขยับไปคือจังหวะอัด ด้านที่ 2 จะอยู่ในจังหวะดูด ด้านที่ 3 จะอยู่ระหว่างจังหวะกำลังคาย ทั้ง 3 ด้านของลูกสูบทำงานตามกลวัตรต่อเนื่องกันไป เสมือนเครื่องยนต์ 3 สูบทำงานต่อเนื่องกัน Rotor หมุน 1 รอบ เพลาข้อเหวี่ยงจะหมุน 3 รอบ จุดระเบิด 3 ครั้ง เทียบกับเครื่องสูบชักที่ 1 สูบหมุน 3 รอบ แต่จุดระเบิดได้เพียงได้ 1 ครั้งเท่านั้น ไม่มีการสูญเสียกำลังในการอัดอากาศ จุดระเบิด เผาไหม้ เครื่อง Rotary จึงสามารถสร้างแรงม้าได้มากกว่าหากเทียบกับความจุที่เท่ากัน แถมยังได้เปรียบจากน้ำหนักที่เบา และตำแหน่งการติดตั้งที่ช่วยย้ายศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากกว่า
หลังจากนั้นเครื่อง Rotary ก็ดังไปไกลไปทั่วทุกมุมโลก มันทำให้ชาวโลกได้รู้ถึงความเป็นรถสปอร์ตตัวจริงจากดินแดนอาทิตย์อุทัย สปอร์ตที่มีความดิบ ความเถื่อน ถึงมันจะไม่ได้เน้นความหรูหรา แต่มันคือการออกแบบที่เต็มไปด้วยความภูมิใจสำหรับคนเอเชีย จนสุดท้าย Mazda ก็ทำยอดขายจากอเมริกาเป็นเทน้ำเทท่า นั่นคือเครื่องการันตรีความสำเร็จของรถสปอร์ตที่เป็นตำนานอย่างแท้จริง
ตั้งแต่ปี 1992 จนมาถึงวันนี้ Rx-7 ไม่เคยจะดูเก่าล้าสมัย เป็นรถจากปี ’90s อีกรุ่นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นรถสปอตร์ที่มาครบทั้งหล่อ ทั้งแรง แถมแพง แต่ได้ความเป็นอมตะสุด ๆ ไปเลย
ความกระด้างของ RX-7 FC ทำให้มันถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าบรรดาเซียนรถว่าเหมือนกับรถแข่งมากเกินไปจนขาดความสะดวกสบาย ทำให้ RX-7FD ต้องออกมาหลายรุ่น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ครอบคลุมกับการใช้งาน FD เป็นทั้งรถขับเล่นในวันหยุด หรือเป็นรถแข่งที่ต้องลงทำการแข่งขันต่อเนื่อง
Mazda RX7 FD Series 8 - 1998-2002
RX-7 FD Series 8 เวอร์ชันสุดท้ายของซีรีส์ FD ก่อนที่จะถูกยกเลิกสายการผลิตไปอย่างน่าเสียดาย RX-7 Series 8 เป็นรุ่นพิเศษและวางขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เทอร์โบชาร์จเจอร์ปรับปรุงใหม่ทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อัปเกรดอินเตอร์คูลเลอร์และระบบระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำแบบใหม่ เพิ่มช่องรับอากาศที่ใหญ่ขึ้น บั้นท้ายรูปลักษณ์ใหม่ด้วยสปอยเลอร์ใหม่เอี่ยมที่ปรับแต่งได้ อัพเกรดระบบเบรกเพื่อปรับปรุงให้มีระยะเบรกที่ดีขึ้น RX-7 FD Series 8 รุ่น AT เกียร์อัตโนมัติ ส่วน RX-7 FD Series 8 Type RB มีกำลัง 261 แรงม้า ส่วนรุ่น Spirit R ถือเป็น RX-7 ที่มีชื่อเสียงที่สุด เป็น RX-7 รุ่นลิมิเต็ดที่ขายเฉพาะในญี่ปุ่น ผลิตเพียง 1,500 คัน ทำให้เป็นรถ FD ที่หายากสุดๆในตลาดรถสปอร์ตมือสองทั่วโลก