หลังจากค่ายเอ็มจี ออกมาประกาศแผนงานครึ่งปีหลัง 2567 โดยเน้นขยายฐานลูกค้าด้วยการเปิดตัว ALL NEW MG 3 HYBRID+ ส่วนในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น และมีราคาสมเหตุสมผล นอกจากนั้นแล้วจะยกระดับงานขาย และการบริการ พร้อมทั้งเตรียมผุด“ศูนย์บริการมาตรฐานส่วนภูมิภาค”ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายสู่การครองส่วนแบ่งการตลาด 4 % ในปี 2567
ล่าสุดวันที่ 15 สิงหาคม 2567 บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้เปิดไลน์การผลิตรถไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG 3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้
นายจ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า การเปิดสายการผลิตในวันนี้ ได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐร่วมเยี่ยมชมโรงงาน และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีปล่อยรถ ALL NEW MG3 HYBRID+ รถไฮบริดรุ่นล่าสุดออกจากสายการผลิต โดยรถรุ่นนี้เตรียมพร้อมเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567
"รถยนต์รุ่นนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นเรือธงที่เอ็มจี มุ่งมั่นให้เป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอ็มจี ที่พร้อมผลักดันการผลิตรถไฮบริดแทนที่รถยนต์สันดาปภายใน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Green mobility และสอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมพร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านสังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มขั้นตามแนวทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก”
สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของเอ็มจี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต้งบการลงทุนที่สูงกว่า 30,000 ล้านบาท โดยจุดเด่นของโรงงานสามารถผลิตและประกอบรถยนต์ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี
โรงงานดังกล่าวมีพื้นที่ของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) ครอบคลุม ไปถึงส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น รวมถึงพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ภายในโรงงานมีการจัดสรรพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำสามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี
ขณะที่ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของเอ็มจี นาย ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เผยว่า เอ็มจี ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 3% ในครึ่งปีหลังของปี 2567 เอ็มจี มีแผนแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่สอดรับกับเทรนด์ตลาดยานยนต์มากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และมีนโยบายนำเทคโนโลยีไฮบริดทดแทนเครื่องยนต์สันดาป ขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำอีกระดับ และนำเสนอราคาอย่างสมเหตุสมผลมากที่สุด
โดยจะเห็นได้จากรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ALL NEW MG 3 HYBRID+ ที่อัดแน่นเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน ครบเครื่องทั้งดีไซน์ สมรรถนะการขับขี่ และอัตราประหยัดน้ำมัน 1 ถัง ขับได้ไกลมากกว่า 800 กิโลเมตร โดย เอ็มจี เตรียมประกาศราคาและเปิดรับจองในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศ
นอกจากนั้นแล้วเอ็มจี ได้ปรับกลยุทธ์การสื่อสารที่พุ่งเป้าไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เชิงลึก ความคุ้มค่าที่แท้จริง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่ตอบโจทย์กับการใช้งานให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงผนึกกำลังกับผู้จำหน่ายกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ ขับเคลื่อนแบรนด์ให้สอดรับกับกระแส หรือเทรนด์ใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดความสดใหม่ในการสื่อสารอยู่เสมอ
นาย ซู๋ว์ หยิ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันเป้าหมายในการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 4% คือ การยกระดับงานขาย และการบริการ ซึ่งหลังจากที่ เอ็มจี ขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปสู่ระดับพรีเมียม นำโดย NEW MG MAXUS 9, NEW MG MAXUS 7 และ NEW MG CYBERSTER จึงมุ่งเน้นการยกระดับบริการหลังการขายให้สอดรับกับผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ และการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพผ่าน MG EV EVolution Showroom ทั้ง 9 แห่ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบริการหลังการขายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ เอ็มจี เตรียมผุด “ศูนย์บริการมาตรฐานส่วนภูมิภาค” เพื่อผลักดันผู้จำหน่ายในหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพสูงสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ซึ่งจะสามารถให้คำปรึกษา แนะนำ และออกช่วยเหลืองานซ่อมหน้างานกับผู้จำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง โดยทาง เอ็มจี จะมีเกณฑ์ในการตรวจสอบมาตรฐาน และประเมินความพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่ เครื่องมือ บุคลากรและทักษะความสามารถ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และยกระดับมาตรฐานการบริการให้ทัดเทียมทั่วประเทศ
"เอ็มจีเราเร่งสร้างความเชื่อมั่น และกำจัดความกังวลใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ดังจะเห็นได้จากการประกาศเพิ่มการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ในหลายรุ่น ซึ่งได้คลายความกังวลให้กับผู้บริโภค และเปิดใจกับแบรนด์มากขึ้น"
ทั้งนี้โรงงาน เอ็มจี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ ใช้งบการลงทุนสะสมกว่า 30,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตสูงสุด (capacity) 100,000 คัน/ปี โดยโรงงานมีทั้งโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) คลังจัดเก็บอะไหล่
และเมื่อไม่นานมานี้ เอ็มจีลงทุนเพิ่มในส่วน NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้หุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐาน ความแม่นยำ สามารถประกอบแบตเตอรี่แบบ Cell-To Pack สูงสุดกว่า 50,000 แพ็ค/ปี
โดยในส่วนอีวี ล่าสุด เอ็มจี เริ่มผลิต อีวี เริ่มต้นด้วยโกลบอลโมเดล “MG4 ELECTRIC” สู้ศึกตลาดรถเล็กในไทย!