นายฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ว่า บริษัทตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งของประเทศไทย ติดอันดับผู้นำ 1 ใน 3 ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ (2568-2570) หลังจากบริษัทได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นแรก คือ OMODA C5 EV และ JACCO 6 ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และมีแผนเตรียมจะส่งรถยนต์ออกสู่ตลาดประเทศไทย อย่างน้อย 2 รุ่น ทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด
ทั้งนี้ บริษัทแม่ หรือเชอรี กรุ๊ป ได้กำหนดกลยุทธ์ให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนงาน และมีการเซ็นสัญญาซื้อโรงงานสำเร็จรูปและอยู่ระหว่างการนำเครื่องจักรเข้าไปในพื้นที่โรงงาน สำหรับผลิตรถยนต์ ในเขตพื้นที่ จ.ระยอง ซึ่งคาดว่าดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมผลิตรถยนต์ได้ ในปี 2568
สำหรับรถยนต์รุ่นแรกที่จะผลิตจากโรงงาน จ.ระยอง จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% OMODA C5 EV เป็นโมเดลแรกก่อน และเบื้องต้นจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะเป็นการลงทุนในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2567-2571 นั้น คาดว่ามีการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 50,000 คัน โดยจะเป็นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนตลาดส่งออกอาจจะมีการผลิตด้วยเล็กน้อย
จากนี้บริษัทจะลงทุนในเฟสที่สอง ซึ่งจะเป็นการขยายเพิ่มกำลังผลิตอีกราว ๆ 30,000 คัน เป็นการเริ่มรองรับตลาดส่งออกมากขึ้นในอนาคต และคาดว่าจะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตรถยนต์จากฐานการผลิตในประเทศไทยอยู่ราว ๆ 80,000 คันต่อปี
“เบื้องต้นเม็ดเงินลงทุนนั้น เรายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ แต่ที่เราบอกได้การลงทุนในเฟสแรกหลัก ๆ จะเป็นการรองรับตลาดในประเทศไทยก่อน ขณะที่ตลาดส่งออกก็อาจจะมีบ้าง แต่ภารกิจหลักคือผลิตเพื่อตลาดประเทศไทยก่อน เพื่อเป็นการยืนยันว่า เราตั้งใจเข้ามาลงทุน และต้องการอยู่ในระยะยาวที่ประเทศไทย”
ปัจจุบันเชอรี กรุ๊ป มีโรงงานผลิตรถยนต์นอกประเทศไทยถึง 11 แห่ง ในภูมิภาคอาเซียน มีโรงงานผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาอยู่ที่อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทย บริษัทแม่ได้กำหนดยุทธศาสตร์อย่างชัดเจนว่า ไทยจะเป็นประเทศฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% พวงมาลัยขวา หรือเป็นฮับพวงมาลัยขวาของเชอรี กรุ๊ป
ล่าสุด บริษัทได้มีการเซ็นสัญญาซื้อโรงงานสำเร็จรูปและอยู่ระหว่างการนำเครื่องจักรการผลิตเข้าติดตั้ง รวมถึงได้มีการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจในการใช้ชิ้นส่วนการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจาก OMODA C5 EV
นอกจากนี้ นายฉี เจี๋ย ยังกล่าวย้ำถึงความพร้อมและความตั้งใจ บริษัทมีนโยบายชัดเจน ว่าไม่ต้องการเข้าร่วมการทำ “สงครามราคา” แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ด้านสงครามราคาของค่ายรถยนต์จีนจะเริ่มเบาบางลง แต่บริษัทนั้นมีความชัดเจนว่าต้องการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาวด้วยความยั่งยืน โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาดภายใต้การกำหนดราคาจำหน่าย และการนำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
“เราใช้เวลาเตรียมตัวมามากกว่า 1 ปีครึ่ง และอาจจะพูดได้ว่า มีความล่าช้ากว่าแผนงานที่วางไว้ กว่าเราจะตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เพราะเราต้องการศึกษาตลาด พฤติกรรมลูกค้าชาวไทยให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาดในเวลานี้อาจจะช้าไป แต่อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะสงครามราคาที่รุนแรงเริ่มสงบลง และเรายืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดราคาในช่วง 2-3 เดือนนี้อย่างแน่นอน”
ด้านนายพิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และเครือข่ายผู้จำหน่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับราคารถยนต์ OMODA C5 EV ที่ราคาจำหน่าย 8.99-9.49 แสนบาทนั้น เป็นราคาที่บริษัทได้ที่คำนวณหลังได้รับส่วนลดมาตรการสนับสนุน EV 3.5 และขณะนี้บริษัท อยู่ระหว่างการรออนุมัติหลังจากยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) โดยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ ส่วนราคา JACCO 6 มีราคาคาดการณ์อยู่ที่ 1.099-1.249 ล้านบาท
สำหรับรถยนต์ OMODA C5 EV และ JACCO 6 นั้น จะเป็นการนำเข้ามาจำหน่ายจากจีนในช่วงแรก โดยพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าได้ในเดือนกันยายนและตุลาคมตามลำดับ
ขณะที่แผนการขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายปัจจุบัน บริษัทมีดีลเลอร์ 25 ราย และมีการเซ็นสัญญาไปแล้ว 39-40 โชว์รูม ที่จะเปิดภายในปีนี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างในกรุงเทพฯ 1 ดีลเลอร์จะได้รับสิทธิในการเปิดโชว์รูม 2-4 แห่ง ส่วนต่างจังหวัด จังหวัดละ 1 โชว์รูม
ส่วนความพร้อมด้านบริการหลังการขายนั้น บริษัทได้ศูนย์อบรม (Training Center) ศูนย์ตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ก่อนส่งมอบ (PDI Center) และคลังอะไหล่บนเนื้อที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่สิงหาคมนี้ หรือก่อนส่งมอบรถยนต์คันแรกของเราถึงมือผู้ขับขี่ชาวไทย และได้ร่วมมือกับ DHL ในการจัดส่งอะไหล่ไปถึงมือลูกค้า โดยในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ใช้เวลาภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนต่างจังหวัดไม่เกิน 3 วันด้วย
นอกจากนี้เรายังได้นำ JAECOO 6 EV รถออฟโรดพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% เวอร์ชันพวงมาลัยขวา รุ่นก่อนผลิตจริง (Pre-production) ครั้งแรกในโลก ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยียนตรกรรม ภายใต้คอนเซปต์ OFF-ROAD TRENDY อัดแน่นไปด้วยพลังสุดแข็งแกร่งและสุนทรียะที่งดงาม
นอกจากนี้เรายังได้นำ JAECOO 6 EV รถออฟโรดพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% เวอร์ชันพวงมาลัยขวา รุ่นก่อนผลิตจริง (Pre-production) ครั้งแรกในโลก ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยียนตรกรรม ภายใต้คอนเซปต์ OFF-ROAD TRENDY อัดแน่นไปด้วยพลังสุดแข็งแกร่งและสุนทรียะที่งดงาม
โดยตัวถังผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งหมด พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเทียมฟอสเฟต ระยะยื่นหน้าและหลังที่สั้นทำให้การขับขี่แบบออฟโรดมีความคล่องตัวสูงไฟหน้าแบบ Headlamp Matrix Adaptive สะดุดตาส่องได้กว้างและไกลกว่า กับโหมดการขับขี่ 6 แบบที่ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ในเมือง และการขับขี่แบบสมบุกสมบัน มี 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่น JAECOO 6 EV Long Range 2WD ราคาคาดการณ์ 1,099,000 บาท และรุ่น JAECOO 6 EV Long Range 4WD ราคาคาดการณ์ 1,249,000 บาท.