ซูซูกิ เตรียมนำเข้า EV - Hybrid 4 รุ่น เสริมทัพ หลังประกาศปิดโรงงาน เลิกขาย อีโค คาร์
ซูซูกิ เตรียมนำเข้า EV - Hybrid 4 รุ่น เสริมทัพ หลังประกาศปิดโรงงาน เลิกขาย อีโค คาร์

SUZUKI แจ้งยุติดำเนินการผลิตรถในไทย แต่ยังทำขายและเซอร์วิสต่อเนื่อง ยันพร้อมดูแลลูกค้าอย่างดี วงการชี้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่เลิกส่งเสริม “อีโคคาร์” บีบค่ายรถดิ้นปรับตัว 

จากนั้น การทำตลาดจะหันไปนำเข้ารถจากต่างประเทศเข้ามาแทน หลักๆ คือ ฐานการผลิตในอินโดนีเซีย รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำเข้าจาก อินเดีย ที่เป็นตลาดและฐานการผลิตที่เติบโตเร็ว รวมถึงจากญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นกับความเหมาะสม

ทั้งนี้ปี 2566 ที่ผ่านมา โรงงานอินโดนีเซีย ผลิตรถรวม 9.49 หมื่นคัน ขณะที่อินเดีย ผลิต 2 ล้านคัน และตั้งเป้าปี 2573 จะเพิ่มเป็น 4 ล้านคัน ส่วนญี่ปุ่นผลิต 2 ล้านคันในปีที่ผ่านมา

ขณะที่ไทยซึ่งอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมรถยนต์หดตัว ซูซูกิ มียอดผลิต 1 หมื่นคันในปี 2566 ดังนั้นยิ่งเมื่อไม่มีโครงการอีโค คาร์ ก็เห็นว่าการเลิกผลิตแล้วหันไปนำเข้าจากโรงงานที่มีศักยภาพมากกว่าเป็นแนวทางที่ดี

อย่างไรก็ตามแม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันในอุตสากรรรมยานยนต์ที่เข้มข้น สภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว จนส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในภาพรวม และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ซูซูกิ ยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคง

ล่าสุดจึงเตรียมแผนการดำเนินธุรกิจให้พร้อมรองรับต่อการแข่งขันในอนาคต ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต ที่ได้ทำการประกาศแก่ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ SUZUKI WORRY FREE ซึ่งจะเป็นการยกระดับงานบริการในทุกด้าน โดยเน้นย้ำถึงการดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ มอบคุณภาพของงานบริการที่ดีที่สุด ตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้เสมอมา

นอกจากแผนการพัฒนางานบริการในด้านต่างๆ ซูซูกิ ยังเตรียมความพร้อมแข่งขันในตลาดรถยนต์ ด้วยแผนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่น ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป มีทั้งเทคโนโลยี EV และ Hybrid ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและนโยบายการรักษาความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยประกอบไปด้วยรถประเภทไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้า 100% โดยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแต่ละรุ่นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้า และสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน


นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เข้ามารับผิดชอบดูแลงานด้านการวางแผนบริหารงานฝ่ายบริการและอะไหล่ สิ่งที่ยึดมั่นคือการดำเนินงานภายใต้ปรัชญา SUZUKI Cause We Care–เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการการพัฒนางานบริการในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศเป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งของ ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)

"ส่วนแผนการปิดโรงงานผลิตรถยนต์ซูซูกิในปี 2025 เนื่องจากหมดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต หรือภาษีอีโคคาร์ ประกอบกับเราต้องการยุติการขาดทุนสะสม เราจึงต้องปิดโรงงาน แต่การทำธุรกิจในไทยของซูซูกิยังคงมีต่อ โดยเราจะเน้นการดูแลลูกค้า และมองหาสินค้าให้ตอบโจทย์กับลูกค้าคนไทยต่อไป ทั้งนี้อุตสหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยถือว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ส่วนตัวก็อยากจะให้ภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยส่งเสริมอุตสหกรรมยานยนต์ไทยต่อไป"

ทั้งนี้เพื่อให้ซูซูกิสามารถดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย เราจึงมีการปรับปรุงแผนและพัฒนาการดำเนินงานเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ แคมเปญ SUZUKI WORRY FREE จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบด้วย

1. ฟรีค่าแรงเช็กระยะสูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทุกสาขา ฟรีค่าแรงเช็กระยะสูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

2. ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการ อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

3. บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ ‘รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม’ สำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ

4. HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวจะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ


5. ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยมีการจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ เพราะซูซูกิมีคลังอะไหล่ 2 แห่ง

ทั้งที่ คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่ จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต

นอกจากนี้ยังมีบริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย

6. ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ลูกค้ามั่นใจกับศูนย์บริการ 92 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเตรียมเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับแผนงานในอนาคต ด้วยการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรายใหม่เพิ่มอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดพัทลุง

7. ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของซูซูกิ ซึ่งปัจจุบันซูซูกิมีผู้จำหน่ายที่มีบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิด้วยกันทั้งหมด 32 แห่ง โดยในอนาคต ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยังมีแผนงานที่จะขยายงานบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิเพิ่มอีกจำนวน 9 แห่ง ทั้งในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี และจังหวัดขอนแก่น ภายในปี 2567

ทั้งนี้แม้ซูซูกิจะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงสภาวะการหดตัวลงของตลาด และความเข้มงวดของสถาบันการเงินต่างๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมาเรายังคงรักษาระดับยอดขายรถยนต์ไว้ได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งนอกจากต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของซูซูกิเป็นอย่างสูงแล้วนั้น

นอกจากนี้เรายังต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของซูซูกิทุกรายที่ทำงานอย่างหนัก จึงขอให้ลูกค้าซูซูกิทุกท่านเชื่อมั่นได้ว่า เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้ จนเราสามารถสร้างยอดขายสะสมนับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ถึง 310,885 คันอีกด้วย.

Share:
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง