ก่อนเปลี่ยนยางต้องรู้ เลข Treadwear บนแก้มยาง ทนทานแค่ไหน
ค่า Treadwear คืออะไร?
โดยปกติแล้วยางทุกเส้นจะระบุค่า Treadwear เอาไว้เป็นเลข 3 หลัก อ้างอิงตามมาตรฐานการแบ่งเกรดคุณภาพยางที่เรียกว่า Uniform Tyre Quality Grading (UTQG) ซึ่ง Treadwear จะบ่งบอกถึงอัตราความสึกหรอช้าและเร็วของยางแต่ละเส้น เช่น 200, 350, 400 หรือกระทั่ง 800 ก็มี
ยางที่มีค่า Treadwear สูง บ่งบอกถึงอัตราการสึกหรอที่ช้ากว่า สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า ในทางกลับกัน ยางที่มีค่า Treadwear ต่ำ มีอัตราการสึกหรอมากกว่า ทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่านั่นเอง
แม้ว่ายางที่มีค่า Treadwear สูงจะมีความทนทานมากกว่า แต่ก็แลกมาด้วยเนื้อยางที่มีความแข็งกว่า อาจเจอข้อเสียไม่พึงประสงค์ขณะใช้งาน เช่น ยางมีเสียงดัง, แข็งกระด้าง, ไม่เกาะถนน ฯลฯ จึงเหมาะกับรถที่ใช้งานหนัก วิ่งออกต่างจังหวัดเป็นประจำ เพราะช่วยยืดระยะเวลาเปลี่ยนยางออกไปได้
ขณะที่ยางที่มีค่า Treadwear ต่ำ มีความนิ่มของเนื้อยางมากกว่า การยึดเกาะถนนจึงดีกว่า ให้ความเงียบในการใช้งาน แลกมาด้วยอายุการใช้งานที่สั้นกว่านั่นเอง
ตัวที่สองครับ Traction คือค่าการทดสอบการเบรกบนถนนเปียกโดยเบรกจนขนาดล้อตายกันเลยละครับ ว่ายางไหนจะมีระยะเบรกเป็นอย่างไรบ้าง โดยมีค่าเป็นตัวอักษรครับ AA, A, B, C โดยค่า AA เป็นค่าที่ดีที่สุดในการเบรกที่มีระยะสั้นที่สุดครับ เพราะฉะนั้นหากเพื่อนๆเลือกก็ดูตัวอักษรนี่ด้วยก็ดีครับ
ตัวที่สาม Temperature ตรงตัวเลยครับ ตัวนี้อุณหภูมิหรือการระบายความร้อนในยางครับ ซึ่งยางทุกเส้นเมื่อใช้งานจะมีความร้อนสูงขึ้น หากความร้อนไม่สามารถระบายออกได้ดีอาจทำให้ความร้อนสูงจนยางระเบิดได้ครับเลยต้องมีค่านี้ขึ้นมาครับ โดยค่าเป็นตัวอักษร A ถึง C โดยค่า A แปลว่าระบายความร้อนได้ดีครับ
นอกจากนี้ ประสิทธิภาพต่างๆ ของยางแต่ละรุ่น เช่น ความนุ่มเงียบ, ความทนทาน, การยึดเกาะถนน ฯลฯ ยังมีปัจจัยอื่นอีกนอกเหนือจากค่า Treadwear เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ผลิตยาง, การออกแบบโครงสร้างยาง หรือการออกแบบลวดลายของดอกยาง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เจ้าของรถต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย