แอร์รถยนต์ไม่เย็น มีแต่ลม ควรเช็กจุดไหนบ้าง?
แอร์รถยนต์ไม่เย็น มีแต่ลม ควรเช็กจุดไหนบ้าง?

แอร์รถยนต์ไม่เย็น มีแต่ลม ควรเช็กจุดไหนบ้าง?

แอร์รถยนต์ไม่เย็น สำหรับเมืองไทยแล้วย่อมเป็นปัญหาน่ากวนใจ ชวนหัวเสียไม่แพ้ปัญหาอื่น ๆ สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ เพราะด้วยอากาศที่แทบจะร้อนเกือบทั้งปี ไม่ว่าจะเดือนไหน ๆ โดยเฉพาะในเมืองที่จราจรติดขัด การขับรถโดยไม่มีระบบปรับอากาศนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ทั้งเหม็น ทั้งร้อน คงไม่มีใครอยากให้แอร์รถยนต์มีปัญหาแน่

7 สาเหตุที่เป็นไปได้และวิธีแก้ไขสำหรับ ผู้ใช้รถทุกท่านที่พบปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็น 

1.น้ำยาแอร์ขาด ปัญหายอดฮิตของคนใช้รถ 
น้ำยาแอร์ หรือที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือสารทำความเย็น (Refrigerants) คือ สารที่ทำหน้าที่รับ ดูดซับ และนำพาความร้อน สารทำความเย็นนี้จะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวให้กลายเป็นไอหรือแก๊สที่ทำให้เรารู้สึกเย็น และเมื่อสารดังกล่าวกลายเป็นไอแก๊สแล้ว มันจะถูกดูดกลับเข้าไป และสามารถคืนตัวเปลี่ยนสถานะกลายเป็นของเหลวได้อีก

ด้วยความสามารถของการกลับไปเป็นของเหลวได้อีกครั้งทำให้แอร์รถยนต์ต้องทำงานแบบระบบปิดเพื่อไม่ให้น้ำยาแอร์หมดหรือขาดบ่อย ๆ หากไม่มีการรั่วซึมในที่ต่าง ๆ

ด้วยความเสถียรของระบบปรับอากาศนี้ทำให้หลายครั้งคนใช้รถยนต์ก็หลงลืมที่จะเช็คน้ำยาแอร์ของตัวเอง รู้ตัวอีกทีน้ำยาแอร์ก็ขาดทำให้ในระบบปรับอากาศมีสารทำความเย็นไม่เพียงพอในการเพิ่มแรงดันเข้าแผงคอยล์เย็นแอร์

ในที่สุดเมื่อไม่มีน้ำยาแอร์ไปดูดจับความร้อนภายในตัวรถ คอมเพลสเซอร์แอร์ก็จะพ่นออกมาแต่ลมอุ่น ๆ  แทนที่จะเย็น

2.ไส้กรองแอร์รถยนต์อุดตัน 

ไส้กรองแอร์ หรือ Cabin Air Filter ในที่นี้หมายถึงแผ่นกรอง – ไส้กรองอากาศก่อนลมจะออกมาจากช่องแอร์ และเข้าไปยังห้องโดยสาร มันทำหน้าที่สำคัญคือการดักจับฝุ่นละออง เศษใบไม้และซากแมลงเล็ก ๆ ที่อาจติดมากับระบบระบายอากาศ

ในกรณีที่เช็คแล้วว่าน้ำยาแอร์ก็ไม่ขาด แต่เปิดยังไงลมที่ออกมาก็ไม่เย็น มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากไส้กรองแอร์รถเรามีสิ่งสกปรก หรือมีฝุ่นอุดตันในไส้กรองแอร์ทำให้ระบบปรับอากาศไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อาการนี้จุดสังเกตสำคัญอีกอย่างก็คือนอกจากแอร์ที่ออกมาจะเป็นลมอุ่นแล้วก็ยังมีกลิ่นอับออกมาจากช่องแอร์ด้วย

วิธีป้องกันและแก้ไขไส้กรองแอร์อุดตัน
ควรเปลี่ยนไส้กรองแอร์ทุก 1 ปี หรือเปลี่ยนเมื่อรถยนต์เดินทางเป็นระยะ 20,000 กิโลเมตร และตรวจสอบไส้กรองแอร์ทุก 10,000 กิโลเมตรว่ามีสิ่งสกปรกอุดตันหรือไม่

หากพบว่าไส้กรองแอร์สกปรกควรถอดมาเป่า ล้าง ทำความสะอาด หรือเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้แอร์ได้ทำงานอย่างเต็มระบบ หากพบว่าสกปรกมากก็สามารถเปลี่ยนได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด

3. ตู้แอร์รั่ว

ตู้แอร์ (Evaporator) ทำหน้าที่นำพาความร้อนไปที่สารทำความเย็น แล้วเมื่อสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) เจอความร้อนก็จะกลายเป็นไอแก๊สส่งกลับมาที่ห้องโดยสาร และสุดท้ายจะถูกดูดออกโดยคอมเพรสเซอร์ทำให้กลับมาเป็นของเหลวอีกครั้ง

โดยทั่วไปแล้วระบบแอร์จะไม่สามารถรั่วซึมเองได้ นอกจากจะเกิดความเสียหาย สึกหรอจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อตู้แอร์รั่วน้ำยาแอร์ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว

สาเหตุหลักของตู้แอร์รั่ว อาจเกิดจากอายุการใช้งานและคราบสกปรกที่จับตัวอยู่ที่แผงภายใน เพราะเมื่อสิ่งสกปรกจับตัวกันมันก็จะกลายเป็นตัวเก็บความชื้นทำให้เกิดสนิมกัดกร่อนผิวอลูมิเนียมภายใน ทำให้แรงดันภายในทะลุออกมาได้

วิธีป้องกันและแก้ไขตู้แอร์รั่ว
หากสงสัยว่าตู้แอร์รั่ว ให้ลองนำน้ำสบู่ราดลงบนท่อของตู้แอร์ ถ้าฟองสบู่ขยายตัวแสดงว่ามีจุดรั่วแน่นอน ต้องรีบโทรหาช่าง เพื่อหาวิธีแก้ไข หากปล่อยไว้นานนอกจากแอร์จะไม่เย็นแล้วการรั่วไหลของน้ำยาแอร์สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้

4. ระบบแผงระบายความร้อนหรือพัดลมหน้าแผงคอยล์ไม่ทำงาน

ระบบแผงระบายความร้อน แผงคอยล์ร้อน หรือ แผงคอนเดนเซอร์ (Condenser) มีรูปร่างคล้ายหม้อน้ำ คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายเป็นพัดลมเพื่อระบายความร้อนออกมาจากคอมเพรสเซอร์ เพื่อกำจัดความร้อนออกจากสารทำความเย็น และทำให้ระบบแอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยมันจะทำการควบแน่นจากไอแรงดันสูง ให้กลายเป็นของเหลวความดันสูง

เมื่อเปิดกระโปรงหน้ารถออกมา แผงระบายความร้อนนี้จะอยู่ ณ ส่วนหน้าสุดของรถยนต์โดยพัดลมระบายอากาศนี้อาจมี 1 หรือ 2 ตัวก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของรถยนต์

หากแผงระบายร้อนไม่ทำงาน น้ำยาแอร์ที่ออกมาจากคอมเพรสเซอร์ไม่มีการระบายความร้อน หรือมีการระบายความร้อนออกน้อย มันจะทำให้พัดลมเครื่องยนต์ไม่ทำงาน ส่งผลให้น้ำยาที่ส่งเข้าคอยล์เย็นมีอุณหภูมิสูง ทำให้แอร์ไม่เย็น

วิธีป้องกันและแก้ไขแผงระบายความร้อนไม่ทำงาน
สังเกตดูว่าเมื่อรถจอดอยู่เฉย ๆ แอร์ไม่เย็น หรือเย็นน้อยกว่าตอนรถเคลื่อนที่หรือไม่ เปิดฝากระโปรงรถขณะติดเครื่องเครื่องยนต์และเปิดแอร์ ดูว่าขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน พัดลมหน้าแผงคอยล์ร้อนทำงานด้วยหรือไม่

หากพบว่าหมุนช้า มีเสียงดัง พัดลมหน้าไม่ทำงาน แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแผงระบายความร้อนหรือพัดลมหน้าคอยล์ร้อนสกปรกถึงเวลาต้องทำความสะอาด เพื่อให้การระบายความร้อนของน้ำยาแอร์ดีขึ้น

5. ใช้น้ำยาแอร์ผิดประเภท

การใช้น้ำยาแอร์รถยนต์ผิดประเภท อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็นเพราะการใช้น้ำยาแอร์รถยนต์ปลอมหรือผิดประเภทจะก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อระบบแอร์รถยนต์ ส่งผลเสียทั้งทำให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นลดลง

โดยเฉพาะหากมีการปลอมปนของน้ำยาแอร์มากกว่า 5%  มันสามารถสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์และคอมเพลสเซอร์ในระยะยาว หรือทำให้เกิดการระเบิดได้เลย เพราะน้ำยาที่ปลอมปนอยู่จะทำให้ความดันในระบบแอร์รถยนต์เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้อุปกรณ์ในระบบแอร์รถยนต์ไม่สามารถทนแรงดันที่สูงกว่าโครงสร้างได้

ความเสียหายต่างๆ ที่กล่าวมานี้อาจไม่ส่งผลโดยฉับพลัน แต่มันจะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เสียก่อนกำหนดแน่นอน

วิธีป้องกันและแก้ไขใช้น้ำยาแอร์ผิดประเภท
เลือกใช้น้ำยาแอร์รถยนต์ให้ตรงตามที่ผู้ผลิตระบุ โดยสามารถดูรายละเอียดได้จากคู่มือการใช้รถหรือปรึกษาช่างผู้ชำนาญ

6. สายพานคอมเพลสเซอร์หย่อน / ชำรุด

สายพานหน้าเครื่อง เปรียบเสมือนเส้นเลือดของรถยนต์ มันมีความสำคัญต่อเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก ในหนังสือคู่มือรถทุกรุ่นจะมีระยะเปลี่ยนสายพานที่กำหนดไว้ตามคู่มือ หากเลยระยะกำหนดที่ต้องเปลี่ยน หรือมีการชำรุดเสียหายจะทำให้ชิ้นส่วนอื่นทำงานหนักเกินจำเป็น

ในกรณีของระบบแอร์ก็เช่นกัน หากสายพานคอมเพลสเซอร์เกิดหย่อนขึ้นมา คอมเพลสเซอร์แอร์ก็จะยิ่งทำงานหนัก ทำให้ระบบภายในพังเร็วขึ้น ในกรณีที่สายพานของคอมเพลสเซอร์หย่อนก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็น หรือเครื่องยนต์เสียงดังขึ้น

สายพานคอมเพลสเซอร์อาจหย่อนหรือชำรุดได้ตามกาลเวลา หรือบางคันก็อาจเกิดจากการใช้งานหนัก สายพานในรถยนต์แต่ละรุ่นจะเสื่อมสภาพเมื่อรถยนต์ใช้งานไปได้ 3-7 ปีโดยประมาณขึ้นอยู่กับโรงงานที่ผลิต

วิธีป้องกันและแก้ไขสายพานคอมเพลสเซอร์หย่อน
หากพบว่าบนสายพานมีรอยแตกลายงาหรือหย่อนลงทำให้เครื่องยนต์เสียงดัง แสดงว่าสายพานเสื่อมคุณภาพแล้ว ควรปรับความตึงให้เหมาะสมและหรือรีบเปลี่ยนใหม่จะดีที่สุด

7. ฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพ

สาเหตุสุดท้ายอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับแอร์โดยตรง แต่หลายคนมองข้ามไป คือฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพ ต่อให้แอร์รถยนต์มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม แต่ฟิล์มกรองแสงจะมีการเสื่อมสภาพลงในทุกๆปี ทำให้ปริมาณรังสีความร้อน ทะลุมามากขึ้น ทำให้ดูเหมือนแอร์รถยนต์เสื่อมนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ต่อให้เราดูแลรักษารถ ตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอแค่ไหน ก็มีโอกาสที่จะเจอปัญหาที่พบได้บ่อยอย่าง แอร์รถยนต์ไม่เย็น เปิดแล้วมีแต่ลม และถึงแม้ว่ารู้ไปก็อาจจะไม่สามารถแก้ไขเองได้ แต่เราเชื่อว่าผู้ใช้งานย่อมอยากรู้ว่าปัญหานั้นมันเกิดจากสาเหตุใด ต้องแก้ไขจุดไหน จึงได้รวบรวมวิธีตรวจเช็กปัญหาแอร์รถไม่เย็นในเบื้องต้นมาแนะนำกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง