เช็ค 4 สัญญาณเกียร์ออโต้ใกล้พัง!
เช็ค 4 สัญญาณ เกียร์ออโต้ใกล้พัง
1.เกียร์เปลี่ยนเร็วหรือช้ากว่าปกติ
เกิดจากการปรับตั้งสายเกียร์ไม่ถูกต้อง (สำหรับรุ่นที่มีสายเกียร์) สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับตั้งใหม่ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า ให้เคลียร์เมมโมรีของสมองเกียร์ หรือตรวจสอบวาล์วควบคุมทิศทางเดินน้ำมันด้วยไฟฟ้า ว่ามีน้ำมันเกียร์มากหรือน้อยเกินไป
2.เข้าเกียร์ D หรือเกียร์ R แล้วกระตุก/กระชาก
เมื่อเข้าเกียร์เดินหน้า หรือทำการถอยรถแล้วพบว่าเกียร์รถยนต์กระตุก/กระชาก สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการเริ่มตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์ รวมถึงคุณภาพของน้ำมันเกียร์ ตามด้วยตรวจเช็กระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์และน้ำมันเกียร์
3.เข้าเกียร์รถยนต์แล้วรถไม่ค่อยขยับ
หากเข้าเกียร์รถยนต์แล้วพบว่ารถไม่ค่อยขยับ ไม่ค่อยอยากจะออกตัว เกิดจากการขาดการบำรุงรักษา โดยเฉพาะรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเป็นเวลานาน ส่งผลให้น้ำมันเกียร์มีปริมาณที่ไม่ถูกต้อง เช่น น้อยเกินไปหรือมากเกินไป สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมน้ำมันเกียร์ในระดับที่เหมาะสม
4. รอบเครื่องขึ้นแต่รถเร่งไม่ขึ้น
อาการนี้เกิดจากผ้าคลัตช์สึกหรอหรือชำรุดเสียหาย รวมถึงเกิดจากปัจจัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมได้ด้วยเช่นกัน
วิธีดูแลเกียร์ออโต้ให้ใช้งานได้นาน ๆ
• หมั่นตรวจเช็กระบบเกียร์อย่างสม่ำเสมอ ข้อควรทำอย่างแรกคือการตรวจเช็กระบบเกียร์อย่างสม่ำเสมอ อาจจะดูจากคู่มือที่ระบุไว้ว่าต้องเช็กระบบเกียร์ คลัตช์ และน้ำมันเกียร์เมื่อไร เพื่อบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ ของเกียร์ออโต้ไม่ให้เกิดการชำรุดเสียหายระหว่างใช้งาน
• ไม่ออกตัวรถแรงหรือเร่งเครื่องแบบกระชาก การออกตัวรถแรงจนเกิดการกระชาก อาจส่งผลให้ระบบฟันเฟืองในเกียร์เสียหาย วิธีการออกตัวรถที่ถูกต้อง คือหลังจากเข้าเกียร์แล้วให้ปล่อยเบรกแล้วปล่อยให้รถไหลอย่างนุ่มนวลจากนั้นจึงค่อย ๆ เหยียบคันเร่ง
• ใช้เกียร์ N แทนเกียร์ P ระหว่างติดไฟแดง เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยรู้หรือคาดไม่ถึงมาก่อน แต่การเข้าเกียร์ P จะทำให้รถของเราล็อกเกียร์แบบอัตโนมัติ หากเกิดอุบัติเหตุก็อาจทำเกียร์ออโต้พังเสียหายได้ เพราะฉะนั้นควรใช้วิธีเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือแทนในระหว่างจอดติดไฟแดงแทน
• รอจนรถจอดสนิทแล้วจึงเข้าเกียร์ถอยหลัง เพราะหากรถยังเคลื่อนที่อยู่แล้วเราเข้าเกียร์ถอยหลังแบบกระทันหัน ก็อาจส่งผลให้ฟันเฟืองเกียร์เสียหายได้เช่นกัน
แม้ว่าการขับรถเกียร์ออโต้นั้นสะดวก สบาย และไม่ยุ่งยาก แต่เรื่องของระบบเกียร์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถควรให้ความสำคัญด้วย ไม่เช่นนั้นก็อาจเจอปัญหาเกียร์ออโต้พังจนต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น
กรณีเปลี่ยนอะไหล่ตามอาการเสียที่มักพบได้บ่อย เช่น สมองกลเกียร์, โซลินอยด์, บูชเกียร์ ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันออกไปตามแต่รุ่น-ยี่ห้อ และอะไหล่ที่ใช้ ส่วนการโอเวอร์ฮอลเกียร์ (Overhaul) เป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในชุดเกียร์ใหม่ทั้งหมด มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อาจป้วนเปี้ยนอยู่ที่ราว 30,000 - 50,000 บาทหรือมากกว่านั้น แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ถูกกว่าการเบิกเกียร์ลูกใหม่ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลักแสนบาท