1 ปรับพฤติกรรมการขับขี่
สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันขึ้นได้นั้น คือ "เท้าขวา" ของคุณเอง เพราะอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะแปรผันโดยตรงกับพฤติกรรมการขับขี่ ยิ่งขับเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ รถยิ่งกินน้ำมันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่ายๆ ด้วยการไต่ความเร็วอย่างพอดี ไม่ต้องรีบร้อน เติมน้ำหนักคันเร่งให้เกียร์เปลี่ยนที่รอบเครื่องยนต์ในช่วงไม่เกิน 2,000 - 2,500 รอบต่อนาที จากนั้นเลี้ยงความเร็วคงที่ประมาณ 80 - 90 กม./ชม. หรือขับทางไกลมากสุดไม่ควรเกิน 110 กม./ชม. หลีกเลี่ยงการเร่งแซงโดยไม่จำเป็น เพียงเท่านี้ก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากโขแล้ว
2 เติมลมยางเพิ่มจากปกติเล็กน้อย
โดยปกติแล้วเจ้าของรถควรเติมแรงดันลมยางให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้เสมอ แต่หากต้องการให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น สามารถเพิ่มลมยางขึ้นอีก 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) จากที่ผู้ผลิตกำหนดเอาไว้ จะช่วยลดแรงเสียดทานของหน้ายางที่สัมผัสกับพื้นถนน แลกกับความกระด้างที่เพิ่มขึ้นจากปกติเล็กน้อย
3 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเสมอ
น้ำมันเครื่องส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพหล่อลื่นของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องที่ผ่านการใช้งานมานาน ส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองดีขึ้นตามไปด้วย แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้ จึงควรหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเสมอ โดยส่วนมากจะต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร
4 ลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น
น้ำหนักบรรทุกมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองมากกว่าที่คิด เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 100 กก. จะส่งผลให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.4 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หากเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ทุก 1,000 กม. จะต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 4 ลิตร หากน้ำมันลิตรละ 40 บาท แปลว่าต้องจ่ายเพิ่มอีก 160 บาท จึงควรนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถเพื่อลดน้ำหนักลงให้มากที่สุด
5 เปลี่ยนเส้นทางหนีรถติด
สภาพการจราจรที่ติดขัดจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราหนาแน่น เลือกเวลาออกจากบ้านหรือที่ทำงานอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการขับรถในช่วงเวลาเร่งด่วนทั้งเช้าและเย็น ยอมตื่นเช้าขึ้นเล็กน้อย หรือกลับบ้านดึกกว่าปกติเสียหน่อย ก็จะช่วยเซฟค่าน้ำมันลง แถมยังลดความเครียดจากสภาพจราจรได้อีกด้วย