น้ำท่วมระดับไหนถึงเป็นอันตรายต่อรถยนต์?
เริ่มที่การสังเกตระดับน้ำเทียบกับฟุตบาท โดยปกติแล้วฟุตบาทจะมีความสูงที่ 10-20 ซม. หากระดับน้ำต่ำกว่าหรือเท่ากับฟุตบาทก็ยังพอไหว เมื่อพบว่าระดับน้ำเลยขอบฟุตบาทไปจนถึงครึ่งล้อถือว่าเสี่ยง ควรปิดแอร์และเลี้ยงคันเร่งให้มีระดับที่สม่ำเสมอ พยายามไม่ถอนคันเร่งบ่อยถ้าไม่จำเป็น แต่หากเจอสูงกว่านั้นให้เลี่ยง อย่าเสี่ยงลุย! ควรหาที่จอดรถที่ปลอดภัยจากระดับน้ำสูง หากฝืนลุยน้ำท่วมสูงจนไปถึงขั้วแบตเตอรี่ อาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดการปนเปื้อนน้ำกรดในตัวแบตเตอรี่ได้เหมือนกันนะ
ลุยน้ำท่วมแล้วรถดับควรทำอย่างไร?
1. ไม่ควรสตาร์ทรถทันที ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าห้องเครื่อง เพราะการสตาร์ทรถกลางน้ำท่วมขังอาจจะทำให้มีน้ำเข้าห้องเครื่องหรือท่อไอดี อาจเกิดความเสียหายอื่น ๆ ตามมา
2. เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน แจ้งผู้ใช้ถนนให้ระมัดระวังเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
3. นำรถออกจากพื้นที่น้ำท่วม แต่ถ้าไม่สามารถนำออกมาได้ ควรยกรถให้สูงจากระดับน้ำท่วม ด้วยการใช้แม่แรง
4. ถอดขั้วแบตเตอรี่ รวมทั้งอุปกรณ์ที่เป็นขั้วไฟฟ้าต่าง ๆ เมื่อนำรถออกมาจากพื้นที่น้ำท่วมได้
5. ตรวจสอบว่ารถดับเนื่องจากน้ำเข้าระบบไฟฟ้าหรือระบบกรองอากาศ โดยดูจากแผ่นกรองอากาศในหม้อกรองอากาศ หากเปียกชื้นแปลว่าดับจากน้ำเข้าระบบกรองอากาศ ทำให้การจุดระเบิดของเครื่องยนต์เสียหายจนสตาร์ทไม่ติด แต่หากไม่มีร่องรอยของน้ำแปลว่าดับเพราะน้ำเข้าระบบไฟฟ้า ทำให้กล่องควบคุมระบบไฟฟ้าไม่ทำงานไม่สามารถสตาร์ทได้
6. เมื่อรถแห้งแล้วต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เข้าที่ ทั้งแบตเตอรี่และอุปกรณ์ขั้วไฟฟ้าต่าง ๆ
7. ลองสตาร์ทโดยไม่เปิดระบบปรับอากาศ เหยียบเบรกเบา ๆ เพื่อไล่ความชื้นออกจากเครื่องยนต์
8. หากยังสตาร์ทไม่ติดหรือน้ำเข้าระบบกรองอากาศ ควรขอความช่วยเหลือจากบริษัทประกันหรืออู่ซ่อมรถ
อย่างไรก็ตาม ขับรถลุยน้ำและรถไม่ดับ อย่าลืมสำรวจความเสียหาย ความผิดปกติของรถ สังเกตภายในรถ หากมีน้ำขังควรดูดเช็ดออกให้แห้ง เปิดประตูรถทั้งสี่ด้าน ระบายอากาศไล่ความชื้นในห้องโดยสารออก พรมปูพื้นชื้นแฉะ ให้นำพรมออกตากแดด ขับรถหน้าฝน เช็กรถให้พร้อมใช้ ดูว่าประกันรถของคุณคุ้มครองแค่ไหน เกิดเหตุฉุกเฉินมีบริการช่วยเหลือใดบ้าง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที