ไฟหน้า Pop-up เสน่ห์ที่หายไปในยุค 90
ไฟหน้า Pop-up เสน่ห์ที่หายไปในยุค 90

ไฟหน้า Pop-up เสน่ห์ที่หายไปในยุค 90

ไฟหน้ารถยนต์เป็นอุปกรณืที่ช่วยส่องสว่างแก่ผู้ขับในยามกลางคืน เป็นไฟที่คอยเตือนแก่คนเดินเท้าด้วยว่ากำลังมีรถวิ่งผ่าน เป็นฟีเจอร์อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องมีติดรถทุกคัน ในปัจจุบันก็จะเป็นโคมไฟอยู่ด้านหน้ารถมีทั้งไฟฮาโลเจน, LED, Xenon ให้เลือกใช้กัน แต่ถ้าหากย้อนอดีตไปยังยุค 80 หรือ 90 ทราบหรือไม่ว่าไฟหน้ารถยนต์ในยุคนั้นมันมีฟีเจอร์สุดเจ๋งที่เรียกว่าไฟ Pop-up เปิดปิดได้เองด้วย

ไฟหน้าในรูปแบบ Pop-up นั้นมันคือไฟหน้ารถที่ใช้ส่องสว่างเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่ามันจะข้อแตกต่างกับไฟหน้ารถปกติคือ ตัวโคมไฟจะถูกซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรงรถเมื่อปิด หากเปิดใช้งานตัวโคมไฟก็จะเด้งโผล่ออกมาจากฝากระโปรงทันที ซึ่งมันจะทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มีการริเริ่มใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวกันในอเมริกาตั้งแต่ปี 1968 เลยทีเดียว

สาเหตุที่ต้องมีไฟ Pop-up นั้นก็เป็นเพราะต้องการความสวยงาม ในแง่ของการออกแบบรถให้เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงเรื่องของ Aerodynamic เนื่องจากการเก็บซ่อนไฟหน้าไว้ข้างใน ทำให้นักออกแบบสามารถทำรถให้มีความลาดเอียงได้มากขึ้น สังเกตได้ว่ารถที่มีไฟรูปแบบนี้จะเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูง เป็นรถสปอร์ตเน้นการขับขี่เสียมากกว่า

โดยรถที่เข้าข่ายก็จะมี Mazda-Mx5, Toyota MR-2, Toyota AE86, Nissan 200SX หรือรถฝั่งตะวันตกอย่าง Dodge Charger, Ferrari Daytona เป็นต้นครับ จะเห็นได้ว่ารถที่มีการออกแบบเช่นนี้มีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเอเชีย, อเมริกาหรือยุโรปก็ตาม

อย่างไรก็ตามเหตุผลข้างต้นที่เลดี้กล่าวมา เป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งเท่านั้น ประเด็นที่น่าจะสำคัญมากกว่าในมุมของผู้ผลิตก็คือ "ต้นทุน" เพราะหากเทียบกับไฟหน้าแบบปกติแล้ว ไฟหน้าแบบ Pop-Up มีความซับซ้อนมากกว่า ทำให้มีต้นทุนสูงกว่า แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะเพิ่มต้นทุนในส่วนนี้กันล่ะ? ดังนั้นเราจึงเห็นในหลายๆ แบรนด์ที่ตอนแรกเปิดตัวมาด้วย ไฟหน้าแบบ Pop-Up แต่พอรุ่นถัดมาก็ได้เปลี่ยนเป็นไฟแบบธรรมดาแทน 

และนี่คือเหตุผลที่ทำไม ไฟหน้าแบบ Pop-Up จึงหายไปจากรถยนต์ในยุคปัจจุบัน โดยที่รถยนต์รุ่นสุดท้ายที่ติดตั้งไฟหน้าแบบนี้คือ Chevrolet Corvette C5 และ Lotus Esprit ที่ยุติการผลิตไปแล้วในช่วงปี 2005 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง