รถยนต์ไฟฟ้าEV เช็คระยะไม่มีเครื่องยนต์ ต้องเปลี่ยนของเหลวอะไรบ้าง?
รถยนต์ไฟฟ้าEV เช็คระยะไม่มีเครื่องยนต์ ต้องเปลี่ยนของเหลวอะไรบ้าง?

รถยนต์ไฟฟ้าEV เช็คระยะไม่มีเครื่องยนต์ ต้องเปลี่ยนของเหลวอะไรบ้าง? 

นอกจากเรื่องของความประหยัดในเรื่องของการใช้พลังงานจากไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ด้วยโครงสร้างในการขับเคลื่อนที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีส่วนประกอบไม่ถึง 100 ชิ้น เมื่อเทียบกับชิ้นส่วนในเครื่องยนต์สันดาปหลายพันชิ้น สิ่งที่จะเปลี่ยนไปสำหรับผู้ใช้รถคือการเข้ารับบริการเซอร์วิส เช็กระยะ และบำรุงรักษา

 

ที่ผ่านมา ค่ายรถยุโรปแบรนด์ดังหลายยี่ห้อ มีการแข่งขันกันในเรื่องของบริการหลังการขาย บางยี่ห้อฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจหลังจากนี้สำหรับเจ้าของรถ EV คือการนำรถเข้าศูนย์บริการ และการดูแลรักษาจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน


รถไฟฟ้า (EV) ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ยังต้องเปลี่ยนของเหลวอะไรบ้าง?


รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์เป็นส่วนประกอบหลักในการขับเคลื่อน โดยไม่มีเครื่องยนต์เหมือนกับรถสันดาป แต่รถไฟฟ้ายังมีชิ้นส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาไม่ต่างจากรถน้ำมัน แม้ว่ารถไฟฟ้าจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ยังมีของเหลวอื่นๆ ที่ต้องเปลี่ยนตามระยะ ดังนี้

- น้ำยาหม้อน้ำ ทุก 80,000 กม. - แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีเครื่องยนต์ แต่จำเป็นต้องมีน้ำยาหล่อเย็นสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่เพื่อช่วยระบายความร้อนอยู่ดี (บางรุ่นอาจใช้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)

- น้ำมันเบรก ทุก 40,000 ถึง 60,000 กม. - น้ำมันเบรกทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อส่งแรงดันจากปั๊มเบรกไปยังลูกสูบเบรก หรือกล่าวได้ว่าเป็นน้ำมันไฮดรอลิกชนิดหนึ่ง เมื่อผ่านการใช้งานจะมีความชื้นปะปนเข้ามา จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะเช่นเดียวกับรถสันดาป

- น้ำมันเกียร์ ทุก 40,000 ถึง 80,000 กม. - แม้ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแต่ก็มีการส่งกำลังผ่านชุดเฟืองที่จำเป็นต้องหมุนตลอดเวลาที่รถเคลื่อนที่ จึงยังคงต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะอยู่เสมอเช่นกัน

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังมีอะไหล่สิ้นเปลืองที่จำเป็นต้องเปลี่ยนตามระยะอื่นๆ อีก เช่น ยางปัดน้ำฝน, ผ้าเบรก, จานเบรก, ยาง, แบตเตอรี่ 12 โวลต์ รวมถึงชิ้นส่วนช่วงล่างที่มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน เช่น โช้กอัป, ปีกนก, ลูกหมาก และอื่นๆ

 


ทั้งนี้ จากการที่รถ EV ไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองลงไปได้พอสมควร อย่างไรก็ดี หัวใจสำคัญที่สุดของรถขับเคลื่อนไฟฟ้าคือ “แบตเตอรี่” ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 166,000 บาทเลยทีเดียว

     

ซึ่งจุดที่จะดึงดูดใจลูกค้าก็คือระยะเวลาการรับประกันอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ที่ปกติแล้วค่ายรถส่วนใหญ่จะรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรีไว้ที่ระยะเวลา 8-10 ปี หรือระยะทาง 100,000-120,000 กิโลเมตร

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง