เลือกซื้อแบบไหนดี "รถเต็นท์" กับ "รถบ้าน"?
เลือกซื้อแบบไหนดี "รถเต็นท์" กับ "รถบ้าน"?

เลือกซื้อแบบไหนดี "รถเต็นท์" กับ "รถบ้าน"?

"รถเต็นท์" กับ "รถบ้าน" ต่างกันอย่างไร?
หากว่ากันตามนิยามของทั้ง 2 คำนี้ รถเต็นท์ก็หมายถึงรถมือสองที่ขายตามเต็นท์รถมือสองทั่วไป ส่วนรถบ้านก็หมายถึงรถที่เจ้าของประกาศขายเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วรถทั้ง 2 แบบดังกล่าวอาจไม่สามารถแยกแยะได้ง่ายดายขนาดนั้น

"รถเต็นท์" ก็ไม่ได้แปลว่ารถย้อมแมวทุกคัน
โดยมากแล้วแหล่งที่มาของรถมือสองตามเต็นท์ ส่วนมากจะเป็นรถประมูลที่เคยถูกยึดจากสถาบันการเงิน หรือรถใช้งานในบริษัทที่หมดสัญญาแล้ว บางส่วนก็จะเป็นรถที่เจ้าของนำมาเทิร์นเป็นคันใหม่ หรือแม้แต่การเทิร์นรถป้ายแดงที่ศูนย์ ก็จะเป็นเต็นท์รถที่เข้าไปตีราคาและรับซื้อมาขายต่อเป็นมือสอง

รถส่วนมากที่เต็นท์นำมาขายจะถูกปรับสภาพให้ดูเหมือนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการทำสีภายนอก ฟื้นฟูภายในห้องโดยสาร และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จะช่วยดึงดูดให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่หลายคนกังวลมากที่สุดคงเป็นเรื่องการ "กรอไมล์" ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นการยากที่ผู้ซื้อจะสามารถตรวจสอบว่าเป็นไมล์แท้หรือไม่

"รถบ้าน" ก็ไม่ได้แปลว่าสภาพดีเสมอไป
แม้ว่ารถที่เจ้าของประกาศขายเองจะมีแนวโน้มถูกหลอกน้อยกว่า แต่ก็ใช่ว่ารถบ้านทุกคันจะมีสภาพดีเสมอไป ขึ้นอยู่กับการดูแลซ่อมบำรุงของเจ้าของแต่ละราย และโดยมากแล้วรถที่เจ้าของโพสต์ขายเอง มักจะไม่ได้ถูกปรับสภาพเหมือนกับรถเต็นท์ หลายคันจึงอยู่ในสภาพโทรม จนถึงขั้นอาจทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเปลี่ยนใจเมื่อเห็นคันจริง แม้สภาพโทรมที่ว่าจะเกิดจากการใช้งานปกติก็ตาม

รถเต็นท์มือสอง
ข้อดี - รถเต็นท์มักมีตัวเลือกในตลาดค่อนข้างหลากหลาย สามารถทดลองขับแต่ละคันได้จนกว่าจะพอใจ มีบริการหลังการขาย ที่สำคัญคือมีไฟแนนซ์รองรับ สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย

ข้อเสีย - รถมือสองตามเต็นท์มักถูกปรับสภาพมาไม่มากก็น้อย ซึ่งหากเป็นการปรับสภาพทั่วไป เช่น เก็บริ้วรอยรอบคัน, เก็บงานช่วงล่าง ฯลฯ อันนี้ถือว่าดี เพราะจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อลงได้ แต่หากถึงขั้นตัดต่อตัวถัง กรอไมล์ ฯลฯ ก็อาจได้รถที่มีคุณภาพต่ำไปใช้งาน

รถบ้านมือสอง
ข้อดี - โดยมากแล้วรถที่เจ้าของประกาศขายเองสามารถตรวจสอบที่มาที่ไป และประวัติการซ่อมบำรุงได้ ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่า เนื่องจากไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังกรณีเป็นรถที่เจ้าของซื้อต่อมาอีกที เพราะอาจตรวจสอบประวัติได้ยาก หากถูกย้อมแมวหรือกรอไมล์มาตั้งแต่มือแรกจะยิ่งยากต่อการตรวจเช็ก

ข้อเสีย - แม้ว่ารถบ้านจะมีราคาถูกกว่า แต่ก็ต้องระมัดระวังในการเลือกด้วยเช่นกัน เพราะการบำรุงรักษาของเจ้าของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป อีกทั้งรถบ้านเหล่านี้มีไฟแนนซ์รองรับน้อย อาจต้องจ่ายเป็นเงินสดทั้งก้อนแทนการจัดไฟแนนซ์ ทำให้ยากต่อการเข้าถึงได้


3. ตรวจสอบสภาพรถ ทั้งภายใน และภายนอก ให้มั่นใจก่อนซื้อ
โดยจะมีเทคนิคในการดูรถง่าย ๆ ดังนี้
- สภาพภายนอกต้องมีสีตัวถังที่สม่ำเสมอและไม่ผิดแปลกไป เพราะบางคันอาจจะมีการเปลี่ยนเพราะถูกชนมา เป็นต้น
- ดูอะไหล่ต่าง ๆ เช่น ไฟหน้ารถกับไฟท้ายรถอาจจะคนละสี เพราะฉะนั้นผู้ซื้อจะต้องตั้งคำถามว่า ทำไมอายุรถ 10 ปี แต่ไฟหน้ายังใหม่อยู่เลย ผู้ซื้ออาจจะต้องทดคำถามไว้ในใจเพื่อที่จะไม่ถูกหลอกเอา และรับได้ไหมกับสภาพที่จะได้รับมา
- สมรรถนะในการขับขี่ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องทำการทดลองขับขี่ก่อนที่จะซื้อ ต้องตรวจสอบว่ารถคันนี้พร้อมที่จะใช้งานไหม พวงมาลัยเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ขัดข้องไหม มีเสียงแปลก ๆ ภายในและภายนอกรถรึเปล่าระหว่างการทดลองขับ
- ตรวจสอบปีผลิตรถคันนั้นว่าตรวจตามเลขทะเบียนหรือไม่ โดยจะสังเกตได้จากเลขโค้ดบนกระจกรถ และแท็กบนเข็มขัดนิรภัย โดยที่ทั้งสองจุดนี้จะบ่งบอกปีรถ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเลขตรงตามสมุดเล่มรถที่ลงทะเบียนไว้
- สุดท้ายเลยตรวจเช็กเลขที่ขอบยางว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ โดยที่เลขจะอยู่ตรงขอบยาง และเลขปีตรงขอบยางจะต้องใหม่กว่าปีรถเสมอ ส่วนของอายุยางในการใช้งาน เช่น ถ้าหากรถคันที่จะซื้อเปลี่ยนยางมาแล้ว ยางก่อนเปลี่ยนจะต้องมีอายุอย่างน้อย 6 เดือน ถ้ามากกว่านี้จะถือว่าเป็นยางปีเก่า

ท้ายที่สุดนี้การเลือกซื้อรถมือสอง ไม่ว่าจะเป็นรถเต็นท์หรือรถบ้าน ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าแบบไหนเหมาะสมกับเรา และมากไปกว่านั้นคือควรที่จะคำนึงถึงสมรรถภาพของรถ ตรวจเช็กสภาพ ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะไม่เพียงแต่จะเซฟความปลอดภัยของคุณเองแต่ยังเซฟคนอื่นบนท้องถนนอีกด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง