การขับรถลุยน้ำส่งผลให้เครื่องยนต์ดับกลางทางเนื่องจากน้ำเข้าภายในรถได้ แต่ถ้าเส้นทางนั้นมันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้ประเมินระดับน้ำก่อนว่ารถของเรานั้นสามารถขับผ่านไปได้หรือไม่ และนอกจากนี้แนะนำว่าควรปิดเครื่องปรับอากาศ ใช้เกียร์ต่ำ ความเร็วต่ำ เร่งรอบเครื่องให้คงที่ รวมถึงคอยสังเกตระดับน้ำจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ดีด้วยนะครับ แต่ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนขับรถไม่แข็งหรือไม่ชินกับเส้นทาง อย่าลงไปลุยเด็ดขาดเลยนะครับ
วิธีการตรวจสอบระดับน้ำท่วมว่าลึกแค่ไหน
สังเกตรถคันอื่น
- รถที่กำลังสวนมา - สังเกตระดับน้ำที่ติดอยู่ตามตัวรถ หรือเสียงเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนไปเมื่อลุยน้ำ อาจบ่งบอกถึงระดับน้ำได้
- รอยน้ำที่ติดอยู่ตามตัวรถคันอื่น - รอยน้ำที่ติดตามตัวรถคันอื่นๆ ที่ขับผ่านมา สามารถบ่งบอกถึงระดับน้ำสูงสุดที่รถคันนั้นผ่านมาได้
สังเกตสิ่งของรอบข้าง
- เสาไฟฟ้า - สังเกตระดับน้ำที่ท่วมถึงเสาไฟฟ้า หรือรอยน้ำที่ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้า
- ป้ายบอกทาง - สังเกตระดับน้ำที่ท่วมถึงป้ายบอกทาง หรือรอยน้ำที่ติดอยู่ตามป้าย
- ต้นไม้ - สังเกตระดับน้ำที่ท่วมถึงรากของต้นไม้ หรือรอยน้ำที่ติดอยู่ตามลำต้น
ใช้ตัวรถเป็นเกณฑ์
- ขอบประตู - ประมาณการระดับน้ำสูงสุดที่รถของคุณสามารถลุยได้ โดยพิจารณาจากความสูงของขอบประตูรถ
- ท่อไอเสีย - ระดับน้ำไม่ควรสูงเกินท่อไอเสีย เพราะอาจทำให้น้ำเข้าเครื่องยนต์ได้
- ช่วงล่าง - สังเกตการทำงานของช่วงล่าง เมื่อลุยน้ำ ระดับน้ำไม่ควรสูงเกินครึ่งล้อ
เมื่อใดควรหยุดรถและหันหลังกลับ
- ระดับน้ำสูงเกินกว่าที่รถของคุณจะรับได้ - หากระดับน้ำสูงเกินกว่าขอบประตูรถ หรือท่วมถึงท่อไอเสีย ควรหยุดรถและหาทางกลับ
- กระแสน้ำแรง - หากมีกระแสน้ำที่ไหลแรง ควรหลีกเลี่ยงการขับรถลุยน้ำ
- มองไม่เห็นพื้นถนน - หากมองไม่เห็นพื้นถนน หรือมีวัตถุลอยมา อาจมีความเสี่ยงที่รถจะจมน้ำ
เพียงแต่นี้คุณก็สามารถขับรถลุยน้ำท่วมได้อย่างปลอดภัย ไม่เสี่ยงเจอเครื่องดับกลางทาง ที่สำคัญ ถ้าหากยังพบอาการผิดปกติของระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า หรือระบบเบรก หลังจากลุยน้ำท่วม ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของตัวคุณเอง