รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ลุยน้ำได้หรือไม่?
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นคลิปต่างประเทศ ที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับลุยน้ำลึกได้อย่างไร้ปัญหา ขณะที่รถยนต์สันดาปกลับจอดตายกันเป็นแถว แต่เมื่อตัดภาพมาที่บ้านเรากลับพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าหลายคันเจอปัญหาไม่สามารถใช้งานได้หลังจากขับรถลุยน้ำมา หรือเพียงแค่จอดรถตากฝนไว้หน้าบ้านก็สร้างความเสียหายได้แล้ว
โดยปกติแล้วรถยนต์สันดาปไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซล จำเป็นต้องใช้อากาศในการเผาไหม้ หากว่ามีน้ำเล็ดลอดเข้าไปยังห้องเผาไหม้แล้วล่ะก็ จะทำให้ระบบเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย เครื่องยนต์ดับกลางอากาศ และอาจร้ายแรงถึงขั้นก้านสูบคดหรือหัก ซึ่งหลายกรณีพบว่ามีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มค่ากับการซ่อม จนถึงขั้นแนะนำให้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ไปเลยจะดีกว่า
ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีระบบเผาไหม้เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงสามารถขับรถลุยน้ำได้โดยไม่ทำให้รถดับ อย่างไรก็ดี การขับรถยนต์ไฟฟ้าลุยน้ำถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย และไม่แนะนำให้ปฏิบัติเว้นแต่มีความจำเป็นจริงๆ เพราะแม้ว่าชิ้นส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะแบตเตอรี่จะถูกซีลเป็นอย่างดี และผ่านมาตรฐานการกันน้ำอันเข้มงวด แต่การใช้งานจริงอาจแตกต่างจากการทดลองในห้องแล็บ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ายังมีชิ้นส่วนและเซ็นเซอร์อีกมากที่อาจได้รับความเสียหายในระยะยาวได้ จึงไม่ควรขับรถไฟฟ้าลุยน้ำหากไม่จำเป็น
ทั้งยังเป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน มักพับปัญหาได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากฝั่งอเมริกันและยุโรป จริงอยู่ที่ยอดขายรถ EV จีนสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าชาติอื่นๆ หลายเท่าตัวนัก แต่ก็สร้างความน่ากังวลไม่น้อยว่าแท้จริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้าจีนเหล่านี้ ได้รับการทดสอบอย่างครอบคลุมดีพอสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแตกต่างไปจากประเทศบ้านเกิดอย่างประเทศไทยแล้วหรือยัง?
รถยนต์ EV ขับลุยน้ำได้นานแค่ไหน?
ถึงเเม้ว่ารถยนต์ EV จะมีการทดสอบมาตรฐาน IP มาแล้วก็ตาม แต่ถ้าอยากให้รถยนต์ EV คันโปรดของคุณสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและใช้งานได้เป็นเวลานาน การทำตามข้อกำหนดที่อยู่ในคู่มือการใช้งานของรถจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ดังนี้
1.เลือกมาตรฐาน IP (Ingress Protection)
เนื่องจากมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นนี้ จะมีตัวเลขกำกับอยู่ 2 หลักด้วยกัน โดยหลักแรกจะบอกถึงความสามารถในการป้องกันของแข็ง (0-6) ส่วนหลักที่สองจะบอกถึงความสามารถในการป้องกันของเหลว (0-9K) ซึ่งถ้าตัวเลข 2 หลักนี้สูงก็ยิ่งป้องกันน้ำและฝุ่นได้มาก เช่น IP67 (เป็นค่า IP มาตรฐานที่รถยนต์ EV ส่วนใหญ่มี) หมายถึง รถยนต์ EV คันนี้สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันของเหลวที่จะแทรกซึมเข้ามาภายในระบบได้ในความลึกสูงสุด 1 เมตร เป็นเวลานานถึง 30 นาที เป็นต้น
**หมายเหตุ : หากอยากให้รถยนต์ EV ของคุณสามารถขับลุยน้ำได้ดีขึ้น ให้เลือกรถยนต์ EV ที่มีค่ามาตรฐาน IP สูงทั้ง 2 หลัก เนื่องจากในพื้นผิวถนนที่มีน้ำท่วม ไม่ได้มีเพียงแค่น้ำเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ยังมีเศษขยะ ฝุ่นละออง ฯลฯ ปะปนอยู่ด้วย
2.ความสูงของรถยนต์
รถยนต์ที่มีพื้นใต้ท้องรถสูงก็จะทำให้ลุยน้ำได้ดียิ่งขึ้น เพราะรถยนต์ EV บางรุ่นมีการติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ที่ใต้ท้องรถ หากถนนที่ใช้สัญจรไปมาทุกวันเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ การเลือกซื้อรถยนต์ EV ที่มีพื้นใต้ท้องรถสูงก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยให้คุณสามารถขับขี่ลุยน้ำได้ แต่ถึงแม้จะสามารถขับลุยน้ำได้ก็ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมหากไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เส้นทางนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพก่อนเวลา และเป็นการยืดอายุการใช้งานให้กับอะไหล่ต่างๆ ของรถยนต์ EV ด้วย
หากจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำท่วม ต้องทำอย่างไร?
1.ความใช้ความเร็วต่ำ
การใช้ความเร็วต่ำ โดยให้ความเร็วของรถอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยป้องกันรถจากกระแสน้ำที่จะไหลเข้ามาใต้ท้องรถ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการควบคุมรถไม่อยู่ขึ้นได้
2.ปิดแอร์
หากขับรถลุยน้ำท่วมทั้งๆ ที่เปิดแอร์ไปด้วย อาจทำให้ใบพัดที่ทำหน้าที่กระจายความเย็นจากแอร์พัดเอาน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์และส่วนอื่นๆ ภายในรถจนอาจทำให้รถดับได้ ดังนั้นควรปิดแอร์ทุกครั้งเมื่อต้องขับผ่านพื้นที่น้ำท่วมขัง
3.รักษาระยะห่างกับรถคันหน้า
การรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าไม่เพียงช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ ป้องกันการชนท้ายรถคันหน้าได้แล้ว ยังช่วยให้คุณมีพื้นที่และเวลาคิดหากรถคันหน้าเกิดอุบัติเหตุหรือมีการเบรกรถกะทันหันนั่นเอง
4.หลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมสูง
ถึงเเม้รถยนต์ EV จะสามารถขับลุยน้ำท่วมได้ แต่การหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังสูงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการขับลุยน้ำท่วมสูงเป็นเวลานาน เพราะนอกจากเป็นการป้องกันน้ำแทรกซึมเข้าสู่ระบบต่างๆ ภายในรถแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อีกด้วย
5.ไม่ดับรถทันทีเมื่อจอด
การดับเครื่องยนต์ทันทีหลังจากขับลุยน้ำท่วมมา อาจสร้างความเสียหายให้กับระบบต่างๆ และรถได้ ดังนั้นเมื่อถึงจุดหมายแล้วควรติดเครื่องยนต์เอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการระบายน้ำออก และทำให้สามารถตรวจเช็กความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ได้ด้วย